“ธุรกิจ” เดินหน้าสู้ปลุกกำลังซื้อ-เศรษฐกิจปีหน้าไม่หยุด “เซ็นทรัล” พร้อมลงทุนต่อเนื่องเปิดอีก 2-3 สาขา ยักษ์สินค้าอุปโภคบริโภค “สหพัฒน์” ชี้นโยบายรัฐอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบส่งผลดีต่อกำลังซื้อและการจับจ่ายโดยรวม ลุ้นกลุ่มธุรกิจรถยนต์-สมาร์ทโฟน-ประกันภัย-สินค้าสุขภาพ เทงบฯปลุกตลาดรอบใหม่ ด้านเม็ดเงินโฆษณาคาดว่าจะค่อย ๆฟื้นตัวขึ้นหลังเดือนกุมภาพันธ์-มีนาคม รับหน้าขายซัมเมอร์
แม้โดยภาพรวมการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2559 ที่กำลังจะจบลง อาจจะไม่เป็นไปตามคาดหวังนัก คือ จีดีพีเติบโตได้เพียง 3.2% จากเดิมที่คาดว่าจะโตได้ถึง 3.5% แต่จากสถานการณ์หลาย ๆ อย่าง โดยเฉพาะการส่งออกและท่องเที่ยวที่เริ่มคลี่คลาย และมีความชัดเจนขึ้น บวกกับนโยบายของรัฐบาลที่จะใช้การลงทุนของภาครัฐบาลเป็นหัวหอก และมีการอัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มกำลังซื้อเกษตรกรและรากหญ้า
ควบคู่กับการเดินหน้ากระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชนการดึงนักลงทุนจากต่างประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการในธุรกิจต่าง ๆ เริ่มเห็นสัญญาณบวก และมั่นใจว่าการเติบโตของธุรกิจในปีหน้าจะมีความหวังและสดใสมากขึ้น
“สหพัฒน์” ชี้งบฯรัฐปลุกตลาด
นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภค กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า แนวโน้มของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคต่อจากนี้จะยังคงมีการแข่งขันที่รุนแรงต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละบริษัทต้องมีกลยุทธ์ออกมาเพื่อสร้างการเติบโตให้กับยอดขาย โดยจะทำกิจกรรมทั้งในช่องทางอะโบฟเดอะไลน์ และบีโลว์เดอะไลน์แตกต่างกันไปตามความเหมาะสมของแต่ละสินค้า
“นโยบายของรัฐบาลที่อัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบผ่านโครงการ-การลงทุนต่างๆ ในเวลานี้ล้วนแต่เป็นผลดีต่อสภาพกำลังซื้อโดยรวม ซึ่งจะส่งผลดีต่อการจับจ่ายใช้สอยในกลุ่มสินค้าอุปโภคด้วย”
สำหรับปีนี้สหพัฒน์ยังคงมีการเติบโตเพราะจำหน่ายสินค้าจำเป็นสำหรับผู้บริโภคซึ่งตลอดทั้งปีได้มีสินค้าใหม่ มีลูกค้ารายใหม่ ๆ ที่เข้ามาใช้เครือข่ายของสหพัฒน์ในการจัดจำหน่ายสินค้า
“เซ็นทรัล” ลุยเปิดสาขา
นายพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัดกล่าวว่า ในด้านของภาพรวมเศรษฐกิจ และกำลังซื้อปี 2560 หากรัฐบาลมีมาตรการออกมากระตุ้นอย่างต่อเนื่องให้เป็นกระแสไปเรื่อย ๆ คาดว่ามู้ดของการจับจ่ายน่าจะดีขึ้น เพราะไม่เพียงแต่ห้างที่ออกมากระตุ้นเท่านั้น แต่เป็นหลาย ๆ ฝ่าย หลายหน่วยงานที่มากระตุ้นพร้อม ๆ กัน
ส่วนทิศทางของเซ็นทรัลในการทำธุรกิจต่อจากนี้ ยังพร้อมที่จะลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยจะเปิดอีก 2-3 สาขา แต่จะต้องมีการศึกษาถึงดีมานด์ของผู้บริโภคให้ละเอียด เชิงลึกมากขึ้น รวมถึงเรียนรู้จากสาขาที่เปิดไปแล้วเพื่อมาปรับปรุงในด้านของการบริการสินค้าให้ดีขึ้น ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค เพราะในปัจจุบันไลฟ์สไตล์คนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จะเห็นว่าศูนย์ที่เปิดใหม่จะไม่ใช่แค่พื้นที่ช็อปปิ้งอย่างเดียว ต้องมีส่วนที่มาเสริมและตอบไลฟ์สไตล์ของลูกค้าได้มากขึ้นด้วย
นายมนตรี สิทธิญาวณิชย์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ห้างเซ็นทรัลดีพาร์ทเมนท์สโตร์ จำกัดกล่าวเพิ่มเติมว่า เซ็นทรัลยังคงเดินหน้าตามแผนลงทุนที่วางเอาไว้ และเพิ่มบริการต่าง ๆ ให้ครบครันมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในด้านของการใช้ข้อมูลจาก Big Data จากทุกหน่วยงานที่มี เช่น เดอะวันการ์ด ฯลฯ เข้ามาช่วยในการทำงาน เพื่อกำหนดแผน นโยบาย กลยุทธ์ ฯลฯ ที่ตรงกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น โดยในอนาคตกิจกรรมหรือแคมเปญโปรโมชั่นต่าง ๆ จะถูก Customize หรือออกแบบให้เหมาะสมกับพฤติกรรมการใช้จ่ายเป็นรายบุคคล
“ขายตรง” ปี′60 ไม่หวือหวา
นางสุชาดา ธีรวชิรกุล ประธานบริหาร ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ในฐานะนายกสมาคมการขายตรงไทย เปิดเผย “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า ภาพรวมธุรกิจขายตรงมูลค่า 62,000 ล้านบาท ปี 2560 คาดว่าจะเติบโตแต่ไม่หวือหวา หรือประมาณ 2-3% เศรษฐกิจน่าจะผ่อนคลายกว่าไตรมาส 4 ของปีนี้ แต่ไม่ได้ฟื้นตัวเร็ว โดยจะค่อย ๆ ดีขึ้นในไตรมาส 1 และ 2 แต่จะเห็นชัดในไตรมาส 3 ไปแล้ว ทำให้ผู้ประกอบการยังคงต้องออกแรงอย่างหนัก
“ปีหน้าน่าจะเห็นการจับจ่ายที่ดีขึ้น เพราะในปีนี้คนที่มีเงินแต่ไม่อยู่ในมู้ดจับจ่าย กลุ่มบนยังมีกำลังซื้อ แต่กลุ่มกลาง-ล่างอาจจะไม่กล้าใช้จ่ายและกำลังซื้อลดลง ขายตรงมี 2 มิติ ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี ช่วยให้คนเห็นประโยชน์ขายตรงมากขึ้น นักธุรกิจเข้ามาง่ายขึ้น แต่ถ้าเศรษฐกิจดี ผู้บริโภคก็ซื้อง่ายขึ้น ดังนั้น ในช่วงเศรษฐกิจไม่ดีจึงไม่ได้แย่เหมือนอุตสาหกรรมอื่น”
สำหรับภาพรวมขายตรงปี 2559 เติบโตทรงตัว เพราะเศรษฐกิจยังไม่ได้ดีมาก บวกกับการแข่งขันสูงขึ้นจากสินค้าหลากหลายแบรนด์มากขึ้น โดยเฉพาะคู่แข่งสินค้าในช่องทางออนไลน์ที่มีจำนวนมาก ทั้งนี้ ในปี 2560 มองว่ากลยุทธ์การตลาดดิจิทัลออนไลน์จะเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยผู้ประกอบการน่าจะใช้เม็ดเงินในการลงทุนเกี่ยวกับออนไลน์มากขึ้น เพราะเป็นเครื่องมือให้สมาชิกทำงานง่ายขึ้น สามารถรีครูตนักขายและสร้างยอดขายได้เร็วขึ้น
ลุ้นเครื่องใช้ไฟฟ้าโต 5%
นายจักรกฤษณ์ กีรติโชคชัยกุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสบริหารสินค้าเพาเวอร์ มอลล์ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารเชนร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าเพาเวอร์ มอลล์กล่าวว่า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าปีหน้ามีโอกาสขยายตัวจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ของภาครัฐ จะทำให้เม็ดเงินกระจายสู่ผู้บริโภคตั้งแต่ไตรมาสแรก รวมถึงการปรับกลยุทธ์ของแบรนด์สินค้าที่เน้นสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยนวัตกรรม และดีไซน์กระตุ้นให้ผู้บริโภคกลุ่มกลาง-บนซื้อสินค้าใหม่ ๆ ถี่ขึ้น
โดยกลุ่มสินค้าที่มีโอกาสเติบโตสูงยังคงเป็น มือถือที่มีสินค้าใหม่ต่อเนื่อง กล้องมิเรอร์เลสจากไลฟ์สไตล์แชะแชร์ และทีวีซึ่งจะมีเทรนด์ระบบภาพแบบเฮชดีอาร์และสมาร์ททีวีที่ใช้ง่ายขึ้นเข้ามากระตุ้น รวมถึงกลุ่มใหม่อย่างเกมทั้งบนมือถือ คอมพิวเตอร์และเครื่องคอนโซลที่มีกระแสเติบโตทั่วโลก ซึ่งจะหนุนตลาดไอทีและทีวีอีกต่อหนึ่ง ปัจจัยทั้งหมดนี้น่าจะช่วยสร้างการเติบโตได้ไม่น้อยกว่า 5%
ส่วนปีนี้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าไอทีน่าจะทรงตัวด้วยมูลค่า 227,000 ล้านบาท เนื่องจากถูกกระทบจากหลายปัจจัย สำหรับบริษัทเองโค้งท้ายนี้ได้ทุ่มงบฯ 100 ล้านบาทจัดงานเพาเวอร์ มอลล์ อิเล็กทรอนิก้า 2017 ระหว่างวันที่ 15 ธ.ค. 59-4 ม.ค. 60 ล้อไปกับโครงการช้อปช่วยชาติ พร้อมขยายสาขาที่จัดงานจาก 3 เป็น 4 แห่ง ได้แก่ เดอะมอลล์ งามวงศ์วาน บางแค บางกะปิ และท่าพระ รวมถึงประสานกับซัพพลายเออร์สำรองสินค้าเพิ่ม 25-30% ตามยอดขายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังจัดเลานจ์ให้ลูกค้านั่งรอรับใบกำกับภาษีอีกด้วย
โดยคาดว่าปีนี้เพาเวอร์มอลล์จะมียอดขายรวม10,000 ล้านบาท เติบโต 2% จากปีที่แล้ว แม้จะต่ำกว่าเป้า 5% ที่วางไว้ แต่ถือว่าน่าพอใจเมื่อคำนึงถึงสภาพตลาด และตลาดทีวีซึ่งติดลบ 5%
สินค้า “4 กลุ่ม” เทงบฯปลุก
นายไตรลุจน์ นวะมะรัตน นายกสมาคมมีเดียเอเยนซี่และธุรกิจสื่อแห่งประเทศไทย กล่าวกับ “ประชาชาติธุรกิจ” ว่า จากสภาพเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่องในปีนี้ ประกอบกับการใช้งบฯโฆษณาเดือนตุลาคม พฤศจิกายน ธันวาคม ไม่ได้โตขึ้น ทำให้สมาคมคาดการณ์ว่าภาพรวมการใช้งบฯโฆษณาสิ้นปีนี้อาจจะเติบโตลดลงประมาณ 12% จากปีก่อน
ขณะที่สถานการณ์การใช้งบฯโฆษณาปี 2560 คาดว่าจะค่อย ๆ ฟื้นตัวขึ้นหลังเดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นไป และจะแรงขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม เมษายน เนื่องจากเป็นช่วงหน้าร้อน และเป็นช่วงหน้าขายของสินค้าหลาย ๆ กลุ่ม ซึ่งจะทำให้งบฯโฆษณากลับมาเติบโตอีกครั้ง หรือประมาณ 3-5% จากปี 2559 ปัจจัยบวกหลัก ๆ มาจากสถานการณ์ภายในประเทศ ความชัดเจนของรัฐบาล การลงทุนของภาครัฐและเอกชน
“งบฯโฆษณาปี 2560 ต้องดีกว่าปีนี้แน่นอน แต่จะค่อย ๆ ดีขึ้นหลังเดือนกุมภาพันธ์ ลากยาวถึงช่วงหน้าร้อน ก่อนจะตกท้องช้างในช่วงฤดูฝน และจะกลับมาโตอีกครั้งในไตรมาสสุดท้าย แต่จะให้กลับมาโตเท่ากับปี 2558 คงเป็นไปไม่ได้ เพราะปี 2559 โตลดลงถึง 12% เชื่อว่าต้นปีหน้าถ้ากลุ่มสินค้าลักเซอรี่กลับมาทำแคมเปญทำกลยุทธ์ กระตุ้นตลาดบ้างเล็กน้อยตลาดโดยรวมก็กลับมาคึกคักขึ้น เพราะสินค้ากลุ่มนี้อั้นมาตั้งแต่ปลายปี 2559”
อย่างไรก็ตาม สินค้ากลุ่มหลัก ๆ ที่เริ่มกลับมาใช้ตั้งแต่ปลายปีนี้ และมีแนวโน้มว่าจะต่อเนื่องยาวถึงปี 2560 ได้แก่ รถยนต์ สินค้าเทคโนโลยี สมาร์ทโฟน ประกันภัย สินค้าสุขภาพ เป็นต้น
ขอขอบคุณ แหล่งข้อมูลจาก : ประชาชาติธุรกิจออนไลน์