Contact us on +668 4668 1993 or aspasign2020@gmail.com

ปีทอง “กาญจนพาสน์” ยุคทายาทต่อยอดธุรกิจรถไฟฟ้า

ปีทอง “กาญจนพาสน์” ยุคทายาทต่อยอดธุรกิจรถไฟฟ้า
June 4, 2017 dhammarong

สัมภาษณ์พิเศษ

หลังบ่มประสบการณ์มานาน ตั้งแต่วิกฤตต้มยำกุ้ง เพื่อพิสูจน์ศักยภาพให้เจ้าพ่อรถไฟฟ้ายอมรับ

ในที่สุด “กวิน กาญจนพาสน์” ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน “มังกรคีรี” วัย 42 ปี ได้เวลาสานต่อธุรกิจอย่างเต็มตัว ในฐานะซีอีโอ “บมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” ขับเคลื่อนธุรกิจทุกโหมดทั้งรถไฟฟ้า โฆษณา และอสังหาริมทรัพย์

ถึงขณะนี้เป็นปีที่ 3 นับจาก เม.ย. 2558 นับเป็น 3 ปีที่ “ซีอีโอคนรุ่นใหม่” เริ่มสนุกกับการทำงาน

02

กวิน กาญจนพาสน์

“เริ่มทำงานตั้งแต่ปี 2541 รถไฟฟ้ากำลังจะสร้างเสร็จ กลับจากเรียนที่อังกฤษ ปีแรกจะไปช่วยธุรกิจที่ฮ่องกงก่อน แต่ป๊า (คีรี) บอกที่เมืองไทยใหญ่กว่าเยอะ เลยเปิดบริษัทวีจีไอ ทำเกี่ยวกับสื่อโฆษณา ผมเป็นพนักงานคนที่ 2 คนแรกเป็นเพื่อนของป๊า หลัง ๆ ขายให้บีทีเอส” กวินเปิดใจกับ “ประชาชาติธุรกิจ”

ปี 2553 หลังเจ้าพ่อบีทีเอสนำ “ธนายง” เข้าซื้อหุ้น “บีทีเอสซี-บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ” สัดส่วน 94.60% พร้อมเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น “บมจ.บีทีเอสกรุ๊ป โฮลดิ้งส์” และปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่รวบไว้ภายใต้ชายคาเดียวกัน คุม 4 ขาธุรกิจ “รถไฟฟ้า-สื่อโฆษณา-อสังหาฯ-บริการ” พ่วงกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท มูลค่ากว่า 6 หมื่นล้านบาท มาเป็นเครื่องมือระดมทุนสร้างรถไฟฟ้าให้ลื่นไหล

ทำให้เวลานี้อาณาจักรบีทีเอสใต้ปีก “ตระกูลกาญจนพาสน์” ใหญ่ขึ้นหลายเท่าตัว ยังไม่นับบริษัทย่อยที่แตกแขนงมาซัพพอร์ตธุรกิจหลักอีกนับไม่ถ้วน จนมีพนักงานถึง 1 หมื่นชีวิตที่ต้องดูแล

“นอกจากธุรกิจรถไฟฟ้าที่เหลือผมดูหมด ป๊ายังช่วยดูมุมมองบริหารบริษัท และรถไฟฟ้ากับคุณสุรพงษ์เป็นซีอีโอบีทีเอสซี เพราะพ่อทุ่มเทกับรถไฟฟ้านับ 10 ปี กว่าจะเติบโตทุกวันนี้ ตอนนี้งานหนักขึ้น กำลังจะเซ็นสัญญาสายสีชมพูกับสีเหลือง เราร่วมกับซิโน-ไทยฯและราชบุรีโฮลดิ้งส์ ลงทุนทั้งโครงการ 1 แสนล้านบาท”

“ผมกับป๊าไม่เคยลงทุนข้างนอก ทุกอย่างลงทุนผ่านบีทีเอส เพราะไม่อยากให้ผู้ถือหุ้นคิดว่า ของดีทำเอง ของไม่ดีให้บริษัท ยังไรก็ตามเราก็เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ไปด้วยกัน”

ถามว่า ผลประกอบการธุรกิจไหนดีที่สุด ? ทายาทเจ้าพ่อรถไฟฟ้าย้ำเสียงหนักแน่น “แน่นอนยังเป็นรถไฟฟ้าประมาณ 40% หรือปีละ 6-7 พันล้านบาท ส่วนธุรกิจโฆษณา 30-40% ของรายได้ทั้งกลุ่ม 1 หมื่นล้านบาท รายได้ของวีจีไอโตขึ้นเท่าตัวจาก 2 พันล้านเป็น 4 พันล้าน”

“มาร์เก็ตแคปวีจีไอกว่า 3 หมื่นล้าน ใหญ่มาก มีสื่อครบทั้งดิจิทัล บิลบอร์ด ในรถไฟฟ้า สนามบิน ห้าง สมัยก่อนขายโฆษณาบีทีเอสอย่างเดียว 23 สถานี พื้นที่ 1 หมื่น ตร.ม. ตอนนี้ยุคสมัยเปลี่ยนไป เราเปิดเป็นห้างให้เอเยนซี่ช็อปปิ้ง มีทั้งโฆษณารถไฟฟ้า ออฟฟิศ มาร์โค แอลอีดี เหมือนเป็นบิ๊กดาต้าให้คนช็อป”

ตอนนี้เริ่มได้ 3 เดือนแล้ว อย่างโฆษณา 11 street จะเหมือนอาลีบาบา เข้ามาไทย 2 เดือนที่แล้วใช้สื่อของเรา เราซื้อเฟซบุ๊กมาแพ็กให้ หาเราเจ้าเดียวได้ทั้งหมด หลังโฆษณาออก 1 เดือน ได้รายได้ 10 เท่า แค่เจ้าเดียวปีหนึ่งมีรายได้ 120 ล้านบาท

“ค่าโฆษณาแพงสุด คือ ออฟฟิศบิวดิ้ง มี 180 ตึก โบกี้รถไฟฟ้ายังแพง เพราะมีแอลซีดี แต่ไม่แพงเท่าสมัยก่อนที่มี 20 ขบวน ตอนนี้ 40-50 ขบวน ค่าโฆษณารถไฟฟ้า 1 ขบวน อยู่ที่ 2-3 แสนบาทต่อขบวนต่อเดือน ลูกค้ารายใหญ่ P&G ซึ่งเราขายเป็นแพ็กเกจต้องซื้อทุกสถานี เหมือนสั่งข้าวผัดเอาแต่ข้าวกับไข่ไม่ได้”

ส่วนธุรกิจอสังหาฯหลัก ๆ ของบีทีเอสมีโครงการธนาซิตี้ บางนา-ตราด เหลืออีก 300 ไร่ กำลังพัฒนาเป็นอพาร์ตเมนต์และโรงเรียนนานาชาติร่วมกับพันธมิตรฮ่องกง

ขณะเดียวกันผนึกพันธมิตรเปิดเกมรุกบุกอสังหาฯเพื่อเช่าและเพื่อขายให้ธุรกิจโตเร็วขึ้นซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดีขณะนี้สัดส่วนรายได้เติบโตจาก7-8% เป็น 15%

บีทีเอสกรุ๊ปดำเนินธุรกิจไม่ซับซ้อน ใครเก่งให้เขาทำ ถ้าเราทำเอง ใช้เวลาเป็น 10 ปีกว่าจะโต ถ้าร่วมกับพันธมิตร ทำให้เราโตเร็วขึ้น เพราะแบรนด์เขาแกร่งอยู่แล้ว อย่างแสนสิริที่เป็นผู้นำด้านอสังหาฯอยู่แล้ว ดีลนี้เราชอบมาก

“ร่วมกับแสนสิริพัฒนาคอนโดฯแนวรถไฟฟ้ารัศมี 500 เมตรจากสถานี 5 ปี 25 โครงการ มูลค่า 1 แสนล้านบาท เราหาที่ลงทุน 30% เตรียมที่ไว้หมดแล้ว แสนสิริจะออกแบบพัฒนาเพราะแบรนด์แสนสิริ ผมชอบมาก เร็ว ทันสมัย ตอนนี้ร่วมกัน 8-9 โครงการกว่า 3 หมื่นล้าน เริ่มทยอยรับรู้รายได้แล้ว คอนโดฯขายง่ายขึ้นหลังร่วมแสนสิริ ตอนนี้ก็ 3 ปีแล้ว เร็วมาก เราวางเป้าไว้ 5 ปี แต่ถ้าแฮปปี้ก็ร่วมกันต่อ”

จากผลตอบรับ ทำให้ “กวิน” เริ่มสนุกกับธุรกิจอสังหาฯ ซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมตั้งแต่ปี 2511 ที่ “คีรี” ปลุกปั้นมากับมือ และพยายามให้ทายาทคนเดียวของเขารับไม้ต่อ นับจากก้าวแรกเข้ามาช่วยงาน

“ผมไม่ชอบอสังหาฯตั้งแต่วันแรก อาจจะเกิดที่ฮ่องกง รู้สึกฮ่องกง ที่มันเล็กไปทำที่ไหน ขายได้ไม่ได้ เก็บไว้ 10 ปียังกำไร แต่เมืองไทยไม่เหมือนกัน คู่แข่งเยอะ ฮ่องกงแค่ 3-4 เจ้า แต่ที่นี่ ทุกคนมีที่อากงให้มาสร้างเอง ขายเอง แต่คอนโดฯที่นี่ วันนี้ขายไม่ค่อยมีกำไร ผ่านไป 20-30 ปี ก็เก่าแล้ว ที่ฮ่องกง 40-50 ปียังสวย”

ผู้อยู่เบื้องหลังทำให้ “กวิน” เริ่มเปลี่ยนใจ คือ บิ๊กบอสแสนสิริ “เสี่ยนิด-เศรษฐา ทวีสิน”

“งานของผมไม่ค่อยยาก อะไรยากให้คุณเศรษฐาทำ (หัวเราะ) หลังร่วมงานกับแสนสิริ ได้เรียนรู้ประสบการณ์จากคุณเศรษฐา ผมชอบมาก พูดตรง พูดแล้ว ทำเลย มีปัญหาช่วยกันแก้ บีทีเอสและแสนสิริอยู่ได้เพราะอย่างนี้ ทั้งที่ปีหนึ่งเจอกันไม่กี่ครั้ง”

ส่วน “บมจ.ยูซิตี้” ที่แปลงร่างมาจาก “แนเชอรัลพาร์ค” เป็นอีกหนึ่งพันธมิตรที่ “บีทีเอส” นำมาเป็นตัวช่วยลุยธุรกิจอสังหาเพื่อเช่าทั้งโรงแรมและสำนักงาน หลังเข้าไปซื้อหุ้นกว่า 35.64%

“ลงทุน 30-40% ร่วมกับยูซิตี้พัฒนาที่ติดบีทีเอสพญาไท 7 ไร่ เป็นโครงการมิกซ์ยูส มูลค่า 6 พันล้านบาท มีโรงแรมอิสติน และออฟฟิศอีก 1-2 เดือนจะเริ่มสร้างและพัฒนาที่ดินหมอชิตอีก 10 ไร่ติดโครงการเดอะไลน์เป็นโครงการมิกซ์ยูสมูลค่า 6 พันล้าน จะเริ่มได้ปีนี้”

ที่ดินตรงหมอชิต “กวิน” บอกว่า จะเป็นอาณาจักรแห่งใหม่ของบีทีเอส นอกจากโรงแรมอิสติน ในส่วนสำนักงานให้เช่าสูง 40-50 ชั้น ยังกันพื้นที่บางส่วนเป็นบ้านหลังใหม่ของบีทีเอส จะมีสกายวอล์กเชื่อมบีทีเอสหมอชิตถึงทหารไทย

ไม่ใช่แค่ “แสนสิริ-ยูซิตี้” ยังมี “จีแลนด์-บมจ.แกรนด์ คาแนล แลนด์” ที่ “กวิน” เล่าว่า กำลังจะมีโปรเจ็กต์ร่วมกันนำที่ 48 ไร่ซื้อจากกรมบังคับคดี 7,350 ล้านบาท ที่ตั้งโครงการบางกอกโดมเดิม เยื่องแดนเนรมิต พัฒนาเป็นโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท มีโรงแรม สำนักงาน ศูนย์การค้าและที่อยู่อาศัย รับรถไฟฟ้าสายสีเขียวต่อขยาย (หมอชิต-คูคต)

รวมถึงจะฟื้นตึกร้างซื้อจากแนเชอรัลพาร์ค หลังเทสโก้ โลตัส พหลโยธิน เยื้อง ๆ กับเซ็นทรัล ลาดพร้าว ร่วมกับแสนสิริพัฒนาโครงการเดอะไลน์ พหลโยธิน พาร์ค มูลค่า 3,500 ล้านบาท

ไม่ใช่แค่ธุรกิจในบ้าน “ทายาทบีทีเอส” ยังเกาะติดสัญญาณเศรษฐกิจของประเทศ

“เรามีธุรกิจหลายอย่าง มีรถไฟฟ้า โฆษณา เป็นบริษัทอยู่ข้างหน้า เศรษฐกิจดีไม่ดีรู้ก่อน ทำโฆษณา เมื่อไหร่มีปัญหา เรารู้สึก ปีที่แล้วก็แน่นอนไม่ค่อยดี 3 เดือน ตอนนี้กำลังฟื้น ปีนี้ไตรมาสแรกดีกว่าปลายปีที่แล้ว มองว่าปีนี้ยังดีเพราะการเมืองยังดีอยู่ เมืองไทยแปลก ฝรั่งมาลงทุน ไทยลงทุนเองไม่พอ ต้องมีต่างประเทศช่วย ถ้าไม่ช่วยตลาดหุ้นไม่มีอย่างนี้ เวลาพูดถึงตลาดหุ้น อสังหาฯมันก็ต้องขึ้น ๆ ลง ๆ รัฐต้องชวนต่างประเทศมาลงทุน จะช่วยได้มาก แต่การเมืองต้องนิ่ง เพราะนักธุรกิจเขาลงทุนอยู่แล้ว”

สำหรับบีทีเอสต้องมาดูภายในองค์กร หลัง 5-10 ปีที่ผ่านมาขยายธุรกิจเร็วและมากเกินไป มีรถไฟฟ้า กองทุนอินฟราฟันด์ วีจีไอ ซื้อธุรกิจอีกหลายแห่งมาต่อยอดรถไฟฟ้า ตอนนี้เราไม่ได้รวยที่สุดแต่งานเรามากที่สุด

ถ้าป๊าเป็นคนที่ไม่แรงขนาดนี้ จะไม่มีใครสร้างบีทีเอสจนเติบโตมาเกือบ 20 ปี

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : prachachat.net