หลังจากที่เราเคยนำเสนอเรื่องสื่อโฆษณานอกบ้าน Out of Home (OOH) ยังมีศักยภาพอยู่มาก ในขณะที่สื่ออื่นๆ ถูกดิจิทัล disruption ไปเกือบหมดแล้ว และยิ่งเมื่อ OOH ถูกผสมผสานเข้ากับดิจิทัล จนกลายมาเป็นงานแบบ O2O ที่ยิ่งทรงประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีก และสิ่งนี้เองที่จะเป็นก้าวต่อไปของวงการโฆษณาบ้านเราในอนาคต
VGI Groupผู้นำเครือข่ายสื่อโฆษณานอกบ้านครบวงจรรายแรกของไทย โชว์ศักยภาพการดำเนินธุรกิจสื่อโฆษณารับยุคอุตสาหกรรมเปลี่ยนแปลงจากกระแสโลกดิจิทัล ชูแนวคิด Data Centric Media Hypermarket เชื่อมโลก Offline กับ Online (O2O-โอทูโอ) พลิกโฉมอุตสาหกรรมสื่อโฆษณานอกบ้านในไทย เชื่อมฐานข้อมูลพฤติกรรมและไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคจากบัตรแรทบิทการ์ด สร้างพลังการสื่อสารที่เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพและวัดผลได้ ชี้ผลวิจัยระบุชัดพลังการใช้สื่อผสมผสานระหว่าง Offline และ Online (O2O-โอทูโอ) ภายใต้แพคเกจการ Bundle สื่อในกลุ่ม VGI ของลูกค้า 11 Street (อีเลฟเว่น สตรีท) กระตุ้นการตัดสินใจซื้อสินค้าเพิ่มขึ้นเท่าตัว
นายเนลสัน เหลียง รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วีจีไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) หรือ VGI ผู้นำเครือข่ายสื่อโฆษณานอกบ้านครบวงจรพร้อมฐานข้อมูลรายแรกในไทย เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมสื่อโฆษณานอกบ้านของไทย (OOH) ได้ก้าวสู่จุดเปลี่ยนแปลง เป็นผลจากพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่ใช้ชีวิตนอกบ้านมากขึ้นและสื่อออนไลน์ที่เข้ามามีบทบาทเพิ่มขึ้น ในฐานะที่ VGI เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมสื่อโฆษณานอกบ้านครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในไทยพร้อมฐานข้อมูล จึงชูแนวคิดData Centric Media Hypermarketเป็นแนวทางดำเนินงานโดยปรับเปลี่ยนวิธีการขายแพคเกจสื่อโฆษณาให้มีการผสมผสานระหว่างสื่อOffline และ Online (O2O-โอทูโอ) โดยนำ Big Data จาก “บัตรแรบบิทการ์ด” ซึ่งเป็นฐานข้อมูลพฤติกรรมการเดินทางและการจับจ่ายใช้สอยและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมาใช้วิเคราะห์เพื่อการจัดสรรสื่อโฆษณานอกบ้านให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายอย่างแม่นยำยิ่งขึ้น ทำให้นักการตลาดและเอเจนซี่โฆษณาทำตลาดได้อย่างรวดเร็วมีประสิทธิภาพ และยังกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
ทั้งนี้ บริษัท เดอะนีลเส็น คอมปะนี (ประเทศไทย) ได้ทำวิจัยผลการใช้สื่อต่อการรับรู้และการตัดสินใจใช้บริการของ 11street (อีเลฟเว่น สตรีท) ผู้ประกอบการค้าปลีกออนไลน์จากประเทศเกาหลี ซึ่งเป็นลูกค้ารายแรกของ VGI ที่ใช้สื่อผสมผสานระหว่างสื่อของ VGI คือการซื้อสื่อโฆษณาแบบเหมาสถานี Station Takeover ครั้งแรกในประเทศไทยบนสถานีรถไฟฟ้า 3 สถานี (สยาม ชิดลม พร้อมพงษ์) ซึ่งเป็นสื่อ Offline ร่วมกับการซื้อสื่อ Online ที่ผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลพฤติกรรมการเดินทางและการจับจ่ายใช้สอยและไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคจากบัตรแรทบิทการ์ด
11street : Case Study
โดยงานวิจัยนี้เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่าง 400 คนที่เป็นผู้ใช้บริการรถไฟฟ้าสถานีสยาม ชิดลม และพร้อมพงษ์ พบว่า การใช้สื่อโฆษณาในสถานีและรถไฟฟ้าบีทีเอสร่วมกับสื่อออนไลน์ควบคู่กันนั้น สามารถกระตุ้นให้ผู้บริโภคตัดสินใจซื้อสินค้าได้สูงถึง 60% ในขณะที่การเลือกใช้สื่อทีวีหรือสื่อออนไลน์เพียงอย่างเดียวสามารถกระตุ้นการตัดสินใจซื้อได้เพียง 27%
- ใช้แบบ O2O กระตุ้นการซื้อ 60%
- เลือกใช้สื่อออนไลน์ หรือออฟไลน์อย่างเดียว กระตุ้นการซื้อ 20%
ดังนั้น จะเห็นได้ว่าการเลือกซื้อสื่อโฆษณาที่มีทั้ง Offline และ Online (O2O-โอทูโอ) ร่วมกันนั้น สามารถกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้มากว่าการเลือกใช้สื่อใดสื่อหนึ่งเพียงอย่างเดียวถึงเท่าตัว
“การสร้างการรับรู้และกระตุ้นพฤติกรรมการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคนั้นจำเป็นต้องใช้สื่อที่มีการผสมผสานระหว่างสื่อ Offline และ Online (O2O-โอทูโอ) เข้าไว้ด้วยกัน มากกว่าการทุ่มเม็ดเงินโฆษณาไปยังสื่อใดสื่อหนึ่งเพียงสื่อเดียว เราเชื่อมั่นว่า Bundle Package จาก VGI จะตอบโจทย์ลูกค้า ช่วยให้เจ้าของสินค้า นักการตลาด และเอเยนซี่สื่อโฆษณาประสบความสำเร็จในการนำเสนอสินค้าและบริการให้เป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ว สื่อสารได้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น” นายเนลสัน เหลียง กล่าว
รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท วีจีไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า VGI Group มีความพร้อมนำเสนอแพคเกจสื่อหลากหลายที่ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า ด้วยสื่อโฆษณาที่ครอบคลุม
- สื่อป้ายโฆษณาและจอดิจิทัลทั้งหมดของระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส (VGI) มากกว่า 6,000 จุด
- สื่อโฆษณาในอาคารสำนักงานและสื่อในลิฟท์คอนโดมิเนียมมากกว่า 300 อาคาร
- ป้ายโฆษณาและจอดิจิทัลทั่วประเทศ (MACO) กว่า 2,000 จุด
- สื่อโฆษณาในสนามบิน (Aero Media) ที่มีจอดิจิทัลมากกว่า 300 จอ สื่ออื่นๆ เช่น รถเข็นในสนามบินดอนเมือง รถกอล์ฟที่สนามบินสุวรรณภูมิ งวงช้าง 5 สนามบินทั่วประเทศและสื่อโฆษณาของสายการบินแอร์เอเชีย ไทยไลอ้อนแอร์และนกแอร์มากกว่า 70 ลำ
จากสื่อในมือ VGI Group ทั้งหมด เรานำมาเชื่อมโยงฐานข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคจากแรบบิท การ์ด ที่มีสมาชิกลงทะเบียนถึง 3 ล้านคน มีทั้งข้อมูลประชากรศาสตร์ (Demographic) และพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยของผู้บริโภค (Consumer Spending Behavior) ที่จะถูกนำมาวิเคราะห์ เพื่อผสานการใช้สื่อโฆษณาทั้ง Offline และ Online (O2O-โอทูโอ) เข้าด้วยกัน 2 รูปแบบ ได้แก่
- แบบ Bundle Package ที่มีให้ลูกค้าเลือกซื้อแบบสำเร็จรูปที่จัดไว้แล้ว
- แบบ Customize package ที่ลูกค้าแจ้งความต้องการแล้วเราจะวางแผนจัดสื่อในมือ พร้อม Big data ทั้งหมดของเรา
นายเนลสัน ระบุว่า หลังจากที่เราเริ่มขายประมาณ 3 อาทิตย์ ทั้งเอเจนซี่และลูกค้าตรงให้การตอบรับเป็นอย่างดี มีลูกค้าที่ตกลงซื้อ Bundle Package และ Customized Package ที่เราจัดไว้ให้เลือกโดยรวมเกือบสิบราย ครอบคลุมตั้งแต่กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิว อาหารและเครื่องดืม ไปถึง การท่องเที่ยว เราเชื่อมั่นว่า Bundle Package และ O2O (โอ-ทู-โอ) ของ VGI Group จะช่วยให้การวางแผนสื่อโฆษณาของเอเจนซี่และนักการตลาดมีประสิทธิภาพและช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคได้มากขึ้น
“VGI Group มีศักยภาพและความพร้อมด้านการให้บริการ O2O (โอ-ทู-โอ) เป็นรายแรกในไทยเพราะเรามีแพลตฟอร์มของสื่อโฆษณานอกบ้านที่หลากหลาย ครอบคลุมและใหญ่ที่สุดในประเทศ ผนวกกับฐานข้อมูลพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยจากบัตรแรบบิทการ์ด สิ่งเหล่านี้จะทำให้เอเจนซี่ นักการตลาดและเจ้าของสินค้าทั้งรายใหญ่และรายย่อย สามารถสื่อสารโฆษณาหรือทำโปรโมชั่นได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างแน่นอน”
บทสรุป
3 สิ่งสำคัญที่เราจะเห็นในการเปลี่ยนแปลงจากนี้ต่อไปของ VGI ได้แก่
- การเปลี่ยนแปลงไปจากสื่อที่เป็นภาพนิ่ง ไปสู่ดิจิทัลและมัลติมีเดีย มากขึ้น โดยจะมีการเริ่มทยอยเปลี่ยนแปลงในเดือนตุลาคมนี้ เป็นเฟสแรก 15 สถานี โดยมีการนำเอาเทคโนลยีมาใส่เพื่อยิงโฆษณาให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายในช่วงเวลานั้นๆ มากขึ้น
- ขยายก้าวไปข้างหน้า จากเดิมที่เน้นแค่พื้นที่กรุงเทพฯ สู่การเป็น Nation Wide ที่ครอบคลุมทั่วประเทศมากขึ้น
- ทั้งในข้อ 2 และ 3 แผนธุรกิจคือจากนี้ไปจะช่วยนักโฆษณา มีเดียเอเจนซี่ และนักการตลาดในการสร้าง Awareness Engagement และ Conversion ในการสร้างสรรค์สื่อโฆษณาให้ดีขึ้น ด้วยการวางทาร์เก็ตได้อย่างตรงกลุ่มและตรงเป้าหมาย
ผ่าน 3 โปรดักส์ที่สร้างสรรค์ O2O ที่สำคัญได้แก่
– แบบเหมาสถานี Station Takeover
– แบบ Bundle Package
– แบบ Customized Package
ซึ่งทั้งหมดนี้ ตั้งเป้าการเพิ่มขึ้นของรายได้ในปีงบประมาณอยู่ที่ 4,000 ล้านบาท (ปีงบฯ จากเดือนเมษายน 2560 – มีนาคม 2561) เป็นการเพิ่มขึ้น (Top up)ของรายได้ของเดิม 15-25% โดยรายได้ปีที่แล้วอยู่ที่ประมาณ 3,052ล้านบาท
หมายเหตุ
ข้อมูลเสริมสำหรับแคมเปญแบบ “เหมาสถานี” (Take Over)
– 11street เป็นรายแรก ในงบประมาณ 100 ล้านบาท ในเวลา 1 ปี ทั้งหมด 3 สถานี
– ลูกค้ารายอื่นๆ มีตามมาได้แก่ OPPO, AEON
– ลูกค้าส่วนใหญ่ที่สนใจโฆษณาในรูปแบบนี้ เป็นกลุ่มแบรนด์ไอที, รถยนต์, สกินแคร์ และ Food and beverage
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : marketingoops.com