ลุ้นเฮือกสุดท้าย อุตสาหกรรมโฆษณาเมืองไทยทะลุ 1 แสนล้าน หลัง 10 เดือนยังติดลบ 8% ขณะที่แนวโน้มปี 2561 คาดบวกได้ 8% เหตุได้ปัจจัยบวกหนุนเพียบ ขณะที่วงการป้ายโฆษณาคาดเติบโต 5-10% เหตุการขยายตัวของอสังหาฯ-การคมนาคม
แม้ว่ายังเหลือระยะเวลาอีกเกือบ 2 เดือนกว่าจะสิ้นปี 2560 แต่แนวโน้มการใช้เม็ดเงินในอุตสาหกรรมโฆษณาของปีนี้ มีทิศทางที่ติดลบอย่างต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา แต่มีตัวเลขติดลบที่น้อยลง อย่างไรก็ตามหากช่วงเวลาที่เหลือของปี ผู้ประกอบการแบรนด์สินค้าต่างๆ ได้ใช้เม็ดเงินโฆษณาเพิ่มมากขึ้น ภาพรวมของปี 2560 อาจจะทำได้ดีเท่ากับปีที่ผ่านมาที่มีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท ขณะที่แนวโน้มในปี 2561 เม็ดเงินอุตสาหกรรมโฆษณาคาดว่าจะกลับมาเติบโตได้เท่ากับช่วงปี 2559 หรืออาจจะมีมูลค่าการใช้เม็ดเงินที่ดีกว่าเล็กน้อย
นายปารเมศร์ รัชไชยบุญ ประธานกิตติมศักดิ์ สมาคมโฆษณาแห่งประเทศไทย และประธานคณะกรรมการดำเนินงาน แอดแมน อวอร์ดส แอนด์ ซิมโปเซียม 2017 เปิดเผยว่า ภาพรวมการใช้เม็ดเงินในสื่อโฆษณาปีนี้ คาดว่าจะติดลบ 8% เนื่องจากปัจจัยด้านต่างๆ ที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นระยะเวลาการโฆษณาของปีนี้ที่ลดลง ภาพรวมเศรษฐกิจและกำลังซื้อต่างๆ แต่การติดลบในปีนี้ถือว่าน้อยกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้เม็ดเงินโฆษณาลดลงไปประมาณ 7% ส่วนเดือนตุลาคมไม่ได้มีการใช้งบโฆษณา
อย่างไรก็ตาม อาจจะต้องประเมินสถานการณ์ในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีนี้อีกครั้ง ซึ่งสื่อโทรทัศน์ได้รับผลกระทบจากการใช้เม็ดเงินในอุตสาหกรรมสื่อโฆษณามากที่สุด แต่สื่อโทรทัศน์ทั้งระบบ ได้แก่ โทรทัศน์ระบบอนาล็อก ระบบดิจิตอล ระบบผ่านดาวเทียม และระบบเคเบิล ยังคงเป็นสื่อที่มีสัดส่วนเม็ดเงินโฆษณามากที่สุดกว่า 50% แม้ว่าสื่ออินเตอร์เน็ตจะเป็นสื่อที่มีอัตราการเติบโตมากที่สุด แต่ฐานยังตํ่า ขณะที่สื่อสิ่งพิมพ์ โดยเฉพาะนิตยสารที่เคยมีสัดส่วนเม็ดเงินโฆษณา 8-10% ปัจจุบันเหลือเพียง 3% เท่านั้น
“ปีนี้ถือว่าภาพรวมอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาได้รับผลกระทบมาอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี แต่นับจากนี้สินค้าจะต้องมีการเปิดตัวใหม่ ต้องมีการสื่อสาร สร้างแบรนด์ สร้างลอยัลตีอย่างต่อเนื่อง จึงเชื่อว่าปีหน้าจะกลับมา จากการประเมินภาพรวมเศรษฐกิจของไทยที่ปรับตัวดีขึ้น และยังมีปัจจัยบวกหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในระบบรถไฟฟ้า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง และตัวเลขทางเศรษฐกิจต่างๆ ที่เป็นบวก อุตสาหกรรมโฆษณาก็เป็นดัชนีชี้วัดภาพรวมเศรษฐกิจได้ หากเศรษฐกิจไม่ดีก็จะถูกตัดงบโฆษณาก่อน”
ด้านนายสินธุ์ เภตรารัตน์ กรรมการผู้จัดการ ธุรกิจมีเดีย นีลเส็น ประเทศไทย เวียดนาม และเมียนมา กล่าวว่า ผู้ประกอบการยังคงใช้เม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อโทรทัศน์เป็นหลักสัดส่วนประมาณ 60% แม้ว่าจะมีการใช้งบโฆษณาผ่านสื่อออนไลน์เพิ่มมากขึ้น คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 10% แต่ถือว่าเป็นเม็ดเงินที่ย้ายมาจากเม็ดเงินที่ใช้ในสื่อโทรทัศน์ แต่การที่ผู้บริโภคสามารถรับชมคอนเทนต์ต่างๆ ผ่านอุปกรณ์ดิจิตอลได้ โดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือ ถือได้ว่าเป็นการกระตุ้นการใช้งบโฆษณาเพิ่มมากขึ้น ในส่วนของสื่อออนไลน์
ล่าสุด ทางนีลเส็นจึงได้เปิดตัวให้บริการวัดเรตติ้งโฆษณา รวมออนไลน์และออฟไลน์ ที่เรียกว่า Total Ad Ratings ครั้งแรกในประเทศไทย ซึ่งเป็นการวัดผู้ชมโฆษณาแบบมัลติสกรีนในประเทศไทย ที่สามารถเห็นเรตติ้งโฆษณาและภาพรวมของผู้ชมโฆษณาในทุกแพลตฟอร์ม ทั้งสื่อโทรทัศน์ โทรศัพท์มือถือ และแท็บเล็ต โดยไม่มีการนับจำนวนซํ้า ถือเป็นประเทศแรกในเอเชียด้วย
“ปัจจุบันการพัฒนาแคมเปญโฆษณาถือได้ว่ามีความซับซ้อนมากขึ้น ดังนั้นผู้วางแผนและนักการตลาดจะต้องเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายให้ได้เป็นอย่างดี จำเป็นต้องมีเครื่องมือที่สามารถตรวจวัดจากผู้ชมที่รับชมจริงๆ จากทุกหน้าจอ ไม่ใช่การตรวจวัดจากอุปกรณ์เพียงอย่างเดียว โดยที่ผ่านมาลูกค้าต่างต้องการให้มีการวัดข้อมูลที่ไม่ซํ้ากัน เพราะขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนไป มีสื่ออื่นๆ เพิ่มเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นมือถือ แท็บเลต ทำให้การชม หรือตลาดสื่อเปลี่ยนไป สื่อที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ ไม่เหมือนสื่อทีวีเสียทีเดียว โลกออนไลน์ แง่โฆษณา ไม่ได้เป็นรูสสปอร์ตที่มีโฆษณาคั่นกลาง เหมือนทีวี แต่โฆษณาบนโลกออนไลน์ จะเป็นแบรนเนอร์ และมีโฆษณารูปแบบต่างๆ เช่น ขณะดูยูทูป ก็มีโฆษณาขึ้นมาคั่นกลาง เป็นต้น”
ขณะที่นายสักกฉัฐ ศิวะบวร กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไอบริก จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจงานเทรดโชว์ป้ายและโฆษณา กล่าวว่า ธุรกิจป้ายโฆษณาในปีนี้มีแนวโน้มเติบโต 5-10% ซึ่งจากมูลค่าตลาดหลายหมื่นล้านบาท เนื่องจากปัจจัยบวกหลายประการ อาทิ การเมืองอยู่ในภาวะปกติ การขยายตัวของเมืองไปยังต่างจังหวัด โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว ส่งผลให้คนในต่างจังหวัดมีวิถีชีวิตเหมือนกับคนในกรุงเทพฯ การขยายตัวของระบบการขนส่งและคมนาคมต่างๆ
“ตลาดโดยรวมของอุตสาหกรรมป้ายโฆษณามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทำให้สื่อโฆษณาป้ายนอกบ้านมีเม็ดเงินเข้ามาใช้บริการอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะการพัฒนาของป้ายไปสู่ระบบดิจิตอล เพื่อรองรับกับไลฟ์สไตล์ของคนในยุคปัจจุบัน และเป็นการเติบโตไปตามสภาพเศรษฐกิจ การขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รูปแบบต่างๆ ทั้งที่อยู่อาศัย ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น”
จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,314 วันที่ 16 – 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : thansettakij.com
