Contact us on +668 4668 1993 or aspasign2020@gmail.com

หุ้นกลุ่ม Media ยังลงทุนได้หรือไม่

หุ้นกลุ่ม Media ยังลงทุนได้หรือไม่
January 3, 2018 dhammarong

หากย้อนดูสถิติหุ้นที่ราคามีการปรับตัวดีกว่าตลาด (Outperform) ในช่วง 11 เดือน ที่ผ่านมา จะพบว่า หุ้นกลุ่มสื่อและบันเทิง (Media) เป็นหุ้นกลุ่มหนึ่งที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าตลาดราว 10% ยิ่งราคาหุ้นหลายตัวในกลุ่มนี้ดีดตัวอย่างร้อนแรงในเวลาที่รวดเร็ว ทำให้นักลงทุนหลายคนได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ บางคนกลับติดดอย และยอมทำใจถือต่อ เพราะกลุ่มนี้มีปัจจัยพื้นฐานรองรับ แต่ก็มีอีกหลายคนที่ยังรอดูสถานการณ์ เพราะไม่แน่ใจว่า ราคาหุ้นวันนี้สมเหตุสมผลหรือไม่

จากการสอบถามข้อมูลนักกลยุทธ์ และนักวิเคราะห์หลักทรัพย์จากหลายสำนัก  คำตอบที่ได้รับก็คือหุ้นกลุ่มนี้มีปัจจัยพื้นฐานรองรับจริง ที่สำคัญ หุ้นกลุ่มนี้ยังมีแนวโน้มการเติบโตของกำไรสดใสต่อเนื่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของเม็ดเงินโฆษณา ทั้งเพื่อเฉลิมฉลองเทศกาลปีใหม่ในโค้งสุดท้ายของปี และการเพิ่มงบโฆษณา ตลอดจนงบ จัดกิจกรรมบันเทิง รับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ในปีหน้า โดยมีความเป็นไปได้ว่า จะเห็นการเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี อีกส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่ กสทช. พร้อมลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล มีผลทันทีปีหน้า.

 

 

อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวของเม็ดเงินโฆษณา จะไม่กระจายตัวในทุกสื่อเหมือนในอดีต เพราะพฤติกรรมผู้บริโภค และเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลง ทำให้สื่อแบบใหม่ (New Media)  มีความน่าสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะสื่อโฆษณา ดิจิทัล จำพวก Facebook YouTube และ Line รวมไปถึงสื่อโฆษณานอกบ้าน ซึ่งเติบโตตามการขยายตัวของชุมชนเมืองกับเส้นทางรถไฟฟ้า สื่อโฆษณาโรงภาพยนตร์ที่จะเติบโตตามแผนเพิ่มโรงภาพยนตร์ และการฉายภาพยนตร์ที่น่าสนใจ และทีวีดิจิทัลที่มี เรตติ้งสูง ขณะที่สื่อแบบเก่า ไม่ว่าจะเป็น ทีวีอะนาล็อก วิทยุ สิ่งพิมพ์ หรือนิตยสาร  ไม่อาจเข้าถึงผู้บริโภคได้มากเหมือนในอดีต
ซึ่งเมื่อให้นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่ม Media เลือกหุ้นน่าสนใจในวันนี้ กระแสจะอยู่ที่สื่อ  3 กลุ่ม ได้แก่ สื่อทีวีดิจิทัล สื่อโฆษณานอกบ้าน  และสื่อโฆษณาโรงภาพยนต์
สื่อโรงภาพยนตร์ยังเติบโตต่อเนื่อง ทั้งจากจำนวนโรงหนังและหนังฟอร์มใหญ่
สื่อโรงภาพยนตร์ ถือเป็นกลุ่มที่มีการใช้จ่ายเงินโฆษณาเพิ่มขึ้นกว่า 20% สวนกระแสธุรกิจโดยรวมที่หดตัว ทำให้ MAJOR เป็นหุ้น ที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของเม็ดเงินโฆษณาเพียงรายเดียว เมื่อ SF ชะลอแผนเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ออกไปเป็นปีหน้า โดยประเด็นในการลงทุนจะอยู่ที่กำไรมีแนวโน้มเติบโตสดใส จากภาพยนตร์ Blockbuster น่าสนใจ อาทิ Thor, Ragnarok, Justice League, Star Wars รวมถึงภาพยนตร์ไทยที่ถูกเลื่อนฉายก่อนหน้านี้ ทยอยเข้าฉาย ตั้งแต่ในไตรมาส 4 ปีนี้ไปตลอดปีหน้า ทำให้รายได้จากยอดขายตั๋วและยอดขายเครื่องดื่มกับขนมขบเคี้ยวมีแนวโน้มเติบโตดีขึ้น ยิ่งบริษัทมีแผนเพิ่มโรงภาพยนตร์ทั้งในและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง จาก 60 โรงในปีนี้  เป็น 70 โรงในปีหน้า เน้นในพื้นที่ต่างจังหวัด  จึงทำให้เชื่อมั่นได้ว่า รายได้จากโรงภาพยนตร์ จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีหน้า ยิ่งธุรกิจโฆษณามีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นตามภาวะเศรษฐกิจ ทำให้กำไรมีโอกาสฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
พิสุทธิ์ งามวิจิตรวงศ์ นักวิเคราะห์ รุ่นใหญ่ ค่ายซีไอเอ็มบี บอกว่า ชอบกลยุทธ์ การขยายกิจการในต่างจังหวัดของ MAJOR เพราะเห็นโอกาสเพิ่ม utilization ของจอ ภาพยนตร์ ซึ่งจะช่วยให้การลงทุนมีความ คุ้มค่ามากขึ้น พร้อมกับหนุนให้ศักยภาพการทำกำไรดีขึ้นจาก operating leverage สูงขึ้น
“เราเชื่อว่า ปีหน้าจะเป็นปีที่ร้อนแรงสำหรับหนังฮอลลีวูด โดยคาดว่า จะมีหนังฟอร์มใหญ่อย่างน้อย 15 เรื่อง ที่ทำรายได้เกินกว่า 100 ล้านบาท เข้าฉาย ซึ่งมากกว่า ปีนี้ที่มีเพียง 12 เรื่อง นอกจากนี้ ยังมีหนังไทย อีก 45 – 50 เรื่อง ที่จะเข้าโรงปีหน้า ช่วยผลักดัน รายได้จากภาพยนตร์ จึงแนะนำให้ทยอย ซื้อสะสมหุ้นแล้วถือรอรับผลประกอบการ ปีหน้าที่คาดจะฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง” วิกิจ  ถิรวรรณรัตน์ นักกลยุทธ์แถวหน้าจาก บัวหลวง ให้ความเห็น
“เราได้ปรับประมาณการกำไรปกติของ MAJOR ปีนี้และปีหน้าลง 6 – 7% เพื่อสะท้อนถึงผลดำเนินงานไตรมาส 3 ที่อ่อนแอ แต่ยังคงแนะนำซื้อ เพราะคาดว่ากำไรจากธุรกิจหลักจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปีหน้า ทำให้การลงทุนสามารถคาดหวังเงินปันผลระดับ 4% และ upside จากราคาเหมาะสมราว 20%” ปิยะธิดา สนธิสมบัติ นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่ม media ของเคจีไอ ขมวดประเด็น
สื่อโฆษณานอกบ้าน มีปัจจัยเร่งการเติบโตจากทั้งในและต่างประเทศ
สื่อโฆษณานอกบ้าน เป็นอีกกลุ่มที่มีการเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาโตสวนกระแส ด้วยอัตราขยายตัวกว่า 10% ซึ่งหุ้นในกลุ่มนี้จะมี 3 ตัว คือ VGI MACO และ PLANB โดยประเด็นลงทุนแตกต่างกันไปตามมุมมองของนักวิเคราะห์แต่ละราย อย่างฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ไทยพาณิชย์ จะชอบ PLANB เหมือนฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์หยวนต้า และบัวหลวง
“PLANB ได้ประโยชน์จากเม็ดเงินโฆษณา ผ่านสื่อนอกบ้านที่เติบโตดีกว่ากลุ่ม และยังได้ ผลบวกจากการบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ให้กับสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย คิดเป็นส่วนแบ่งรายได้ปีละ 100 ล้านบาท หนุนให้รายได้ปีนี้คาดว่าจะเติบโตราว 30% เป็น 2.8 พันล้านบาท ก่อนเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ย ปีละ 15% ในอีก 3 ปีข้างหน้า ตามแนวโน้มการเติบโตของสื่อโฆษณานอกบ้าน และการเพิ่ม capacity สื่อป้ายโฆษณาอีกราว 10 – 15%  รวมถึงการรุกสื่อโฆษณาใหม่ๆ และขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ผ่านการซื้อกิจการ ช่วยเพิ่ม upside ให้ราคาหุ้น ยิ่งราคาหุ้นซื้อขายต่ำกว่าคู่แข่ง เมื่อวัดจากมูลค่าสุทธิของกิจการ หรือ EV/EBITDA จึงเป็นหุ้น top pick ในกลุ่มสื่อนอกบ้าน โดยให้ราคาเหมาะสม  8 บาท” ถกล บรรจงรักษ์ นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่ม media จากหยวนต้า อธิบาย
“เราคาดว่า PLANB จะมีกำไรเติบโตแข็งแกร่งไปจนถึงปีหน้า ในอัตรา 40% จากการเพิ่มพื้นที่โฆษณา และขยายอัตราการใช้ พื้นที่โฆษณาเพิ่มต่อเนื่อง จาก 59% ในปีก่อน  เป็น 70% และ 75% ใน 2 ปีนี้ และการมีรายได้ เพิ่มจาก sport marketing โดยหากไม่นับ upside ที่จะเกิดจากการขยายสื่อในอาเซียน ซึ่งเพิ่งเริ่มดำเนินการ จะพบว่า หุ้นมี upside จากราคาเหมาะสมที่ 8.50 บาท สูงกว่า 20% จึงแนะนำซื้อ” วิกิจ สรุปประเด็น
ในทางกลับกัน ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ทิสโก้ และเอเซียพลัส กลับชอบ VGI มากกว่า ด้วยเหตุผลว่า มีการขยายธุรกิจสื่อนอกบ้านได้หลากหลายครอบคลุมพื้นที่สื่อเพิ่มขึ้น  ไม่ว่าจะเป็น สื่อกลางแจ้ง สื่อโฆษณาสนามบิน  สื่อโฆษณาบนรถไฟฟ้า BTS ที่เป็นบริษัทแม่ และในมาเลเซีย หรือสื่อโฆษณาในอาคารสำนักงาน โดยตั้งเป้ารายได้เพิ่มจาก 4,000 ล้านบาท ในปีนี้ เป็น 8,000 ล้านบาท ภายในปี 2564 หรือเติบโตปีละ 15 – 20% ซึ่งมีความเป็นไปได้สูง จากการมี platform ครบวงจร สามารถผสาน Big data จากบัตร Rabbit ช่วยให้สามารถขาย package โฆษณาได้ตรงความ ต้องการลูกค้า ยิ่งอัตราค่าโฆษณาสื่อนอกบ้าน ถูกกว่าสื่อโทรทัศน์ ทำให้ธุรกิจมีโอกาสเติบโต ได้อย่างยั่งยืน โดยค่ายทิสโก้ ให้ราคาเหมาะสม ที่ 7.60 บาท ขณะที่เอเซียพลัส ประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 6.80 บาท
ขณะที่จรูญพันธ์ วัฒนวงศ์ นักวิเคราะห์ หุ้นกลุ่ม media จากเมย์แบงก์กิมเอ็ง เลือก  MACO ซึ่งเป็นหมายเลขสองในธุรกิจป้ายโฆษณากลางแจ้ง และเป็นบริษัทลูกของ VGI  เพราะเชื่อว่าการลงทุนเพิ่มป้ายโฆษณาตลอด สามปีที่ผ่านมา จนทำให้จำนวนป้ายเพิ่มจาก  1,144 ป้ายเป็น 2,052 ป้ายในปีนี้ และสามารถ เพิ่มอัตราการใช้ป้ายโฆษณาได้ติดต่อกัน สามไตรมาส ใกล้ 70% หนุนให้อัตรากำไรขั้นต้น ปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น 59% จะทำให้แนวโน้มกำไรปีหน้าเติบโตทำสถิติใหม่ และขยายตัว โดดเด่นที่สุดในกลุ่มสื่อนอกบ้าน ขณะที่ราคา หุ้นยังซื้อขายต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่มสื่อนอกบ้าน  จึงแนะนำซื้อ โดยให้ราคาเหมาะสมที่ 2.42 บาท
สื่อทีวีดิจิทัล อนาคตยังสดใส แต่ความถูกแพงของหุ้นคือคำถาม
สื่อทีวีดิจิทัล เป็นกลุ่มที่มีการเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาโดดเด่นที่สุด จนติดอันดับสอง ในอุตสาหกรรม เป็นรองแค่สื่อทีวีอะนาล็อคเท่านั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากอัตราค่าโฆษณา ถูกกว่า อีกส่วนเกิดจาก content โดนใจผู้บริโภค  ทำให้มีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ WORK MONO และ RS ที่โชว์ผลดำเนินงานไตรมาส 3 เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ช่วยพลิกฟื้น ผลดำเนินงานทั้งปีเป็นกำไร ก่อนเติบโตทำ สถิติใหม่ในปีหน้า จากเม็ดเงินโฆษณาทางทีวี  และสื่อดิจิทัล พวก Facebook, YouTube และ Line ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดย คาดว่าจะเห็นการเติบโตในปีหน้าก้าวกระโดด ขณะเดียวกัน ธุรกิจ ยังมีปัจจัยสนับสนุนเพิ่มจากการเริ่มต้นปรับลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตประกอบกิจการโทรทัศน์ ซึ่งขั้นตอนเหลือเพียงการผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีเพื่อประกาศใช้เท่านั้น ช่วยให้ต้นทุนเฉลี่ยลดลงจาก 1.55% เหลือ 0.67%
อย่างไรก็ดี การที่ราคาหุ้น WORK MONO  RS มีการดีดตัวกันถ้วนหน้า ทำให้นักวิเคราะห์ หุ้นกลุ่ม media มองหุ้นเหล่านี้แตกต่างกันไป  อย่าง WORK ซึ่งปีนี้ผลดำเนินงานโดดเด่นที่สุดในกลุ่ม แม้จะยังได้รับการยอมรับว่า  จะสามารถยกระดับกำไรให้เติบโตได้อย่าง ต่อเนื่อง จากความแข็งแกร่งของ content ที่ถูกใจคนดู และ position ในสายตาเอเจนซี่ แต่ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์เออีซี และหยวนต้า  กลับเลือก MONO แทน เพราะมี upside จูงใจกว่า
“เราชอบ MONO เพราะคาดว่า กำไรปีหน้าจะเติบโตโดดเด่นสุดในกลุ่ม ด้วยอัตราขยายตัว 121% จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็น  โอกาสปรับขึ้นอัตราค่าโฆษณาทีวี การได้ปรับ ลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตฯ หรือพัฒนาการของกำไรในธุรกิจออนไลน์ ซึ่งจะเกิดจากการเปิดตัว VDO Portal ใหม่ SEE ME ซึ่งนอกจากจะมีส่วนแบ่งรายได้จากผู้ผลิต content ที่นำ มาลงใน platform แล้ว ยังช่วยสร้างฐานข้อมูล กลุ่มคนดูที่ชัดเจน ช่วยให้การขายโฆษณากับเอเจนซี่ทำได้ง่ายขึ้น โดยคาดว่า platform นี้จะสร้างรายได้ราว 500 ล้านบาท ภายใน สองปีข้างหน้า” ณัฏฐ์วริณ ไตรภพสกุล  นักวิเคราะห์จากเออีซี ให้เหตุผล
“เราเลือก MONO เป็น top pick ของกลุ่ม ด้วยมูลค่าเหมาะสม 5.60 บาท จากราคาหุ้นที่ยัง underperform กลุ่มทีวีดิจิทัล ขณะที่ บริษัทยังคงเรตติ้งได้ในอันดับที่ 4 แต่ค่าโฆษณากลับต่ำกว่าอันดับ 1 – 3 ราว 30 – 50%  จึงมีโอกาสปรับขึ้นค่าโฆษณาได้สูงกว่ากลุ่ม อย่างน้อยเฉลี่ย 20% ในช่วง 3 ปีข้างหน้า จึงแนะนำซื้อ” ถกล เสริม
ขณะที่ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์บัวหลวง กลับชื่นชอบทั้ง MONO และ WORK โดย ชี้ประเด็นลงทุน MONO ว่า ถึงเวลาเก็บเกี่ยวกำไรที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องเริ่มตั้งแต่ปีหน้า จากการเป็นทีวีดิจิทัลที่มีเรตติ้งเป็นอันดับต้นๆ ประกอบกับบริษัทมีการพัฒนา platform ออนไลน์หนุนผลดำเนินงานในระยะยาว จึงประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 5 บาท ส่วน WORK มีจุดแข็งในการเป็น player ที่แข็งแกร่งที่สุดในอุตสาหกรรม สามารถพัฒนาเรตติ้งให้เพิ่มขึ้นได้ต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น บริษัทยังมีความชัดเจนและความสม่ำเสมอในการ ทำกำไรมากที่สุดในกลุ่ม จึงให้ราคาเหมาะสม  129 บาท
สำหรับ RS มีคำอธิบายจาก สยาม  ติยานนท์ นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่ม media ของฟิลลิปว่า กำไรมีแนวโน้มเติบโตก้าวกระโดดในสองปีนี้ ทั้งจากธุรกิจทีวีดิจิทัลกับธุรกิจสุขภาพและความงาม โดยธุรกิจทีวีได้ประโยชน์จากการมีเรตติ้งติด Top 5 ช่วยกระตุ้นรายได้จากโฆษณาได้เพิ่มขึ้น ยิ่งบริษัทมีการปรับกลยุทธ์ในการขายโฆษณาแบบควบคู่ช่วง primetime และ non- primetime มาเป็นขายแยกรายการ ทำให้อัตราค่าโฆษณาช่วง primetime สร้างมูลค่าเพิ่มได้มากขึ้น ขณะที่ธุรกิจสุขภาพและความงาม  มีพัฒนาการของกำไรที่โดดเด่นมาก จนน่าจะ ช่วยให้ธุรกิจพลิกจากขาดทุน 102 ล้านบาท ในปีที่แล้ว มาเป็นกำไรปีนี้ 310 ล้านบาท ก่อนกระโดดเป็น 919 ล้านบาท ในปีหน้า  แต่เนื่องจากราคาหุ้นมีการปรับขึ้นอย่าง ร้อนแรงในช่วงก่อนหน้านี้ ทำให้เหลือ upside จากราคาเหมาะสมที่ 27.50 บาท จำกัด จึงควรถือ หรือรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัวมากกว่า
กระนั้น ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน กลับมองต่างมุมออกไป เพราะเทใจ ให้ GRAMMY
“เราเลือก GRAMMY เป็น top pick ของกลุ่ม ด้วยมูลค่าเหมาะสม 15.10 บาท เพราะคาดว่าผลดำเนินงานจะพลิกจากขาดทุนเป็นกำไรในปีหน้า จากความสำเร็จของช่อง ONE และการมีแผนธุรกิจที่ชัดเจนขึ้นในช่อง GMM25 รวมถึงธุรกิจสื่อวิทยุซึ่งได้กลุ่มเบียร์ช้างเป็นพันธมิตร ตลอดจนการเปิดตลาดภาพยนตร์ในจีน หลังจากประสบความสำเร็จได้แล้วจากภาพยนต์เรื่องฉลาดเกมโกง นอกจากนี้ การลดค่าธรรมเนียมใบอนุญาตฯ ยังจะส่งผลดีต่อ GRAMMY มากกว่าบริษัทอื่น  ขณะเดียวกัน ราคาหุ้นยัง laggard กลุ่ม โดยซื้อขายที่ Forward P/E 31.7 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ซื้อขายกันที่ Forward P/E 43.2 เท่า ทำให้น่าสนใจมากขึ้น” ดิษฐนพ วัธนเวคิน  นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่ม media ของโนมูระ พัฒนสิน ชี้ประเด็น
ขณะเดียวกัน มีคำแนะนำจากฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ซีไอเอ็มบี บัวหลวง และเมย์แบงก์กิมเอ็ง สอดรับไปกับมุมมองของ พรสุข อมรวดีกุล นักวิเคราะห์หุ้นกลุ่ม  media ของฟินันเซีย ไซรัสว่า ให้ชะลอลงทุน หุ้น BEC และ MCOT ไปจนกว่าจะเห็นความชัดเจนในการสร้างเรตติ้ง เพื่อแย่งส่วนแบ่งตลาดที่เสียไป ซึ่งทั้งสองรายต้องใช้เวลา ปรับตัว และพัฒนา content รวมถึง platform สักระยะกว่าจะเห็นพัฒนาการเชิงบวกที่มีนัยสำคัญ
ถึงแม้หุ้นเด่นกลุ่มสื่อทีวีดิจิทัลจะมีปัจจัยพื้นฐานสนับสนุน และมี story ช่วยผลักดัน  แต่การที่ภาวะการแข่งขันในธุรกิจยังคงมีสูง  ทำให้นักลงทุนต้องให้ความสำคัญกับประเด็น การปรับขึ้นค่าโฆษณาเป็นพิเศษ เพราะประเด็นนี้จะเป็นตัวแปรหลักที่บ่งชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตของกำไรของหุ้นกลุ่มนี้ มากที่สุด ยิ่งราคาหุ้นหลายตัวในกลุ่มนี้มี การปรับขึ้นอย่างร้อนแรงในช่วงก่อนหน้านี้  ทำให้การจับจังหวะซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว กลายเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการลงทุนได้ดีที่สุด
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : moneychannel.co.th