ในยุคหนึ่งเคยมีคำกล่าวว่า “ใครกุมช่องทางขาย คนนั้นมีอำนาจ” แต่ในยุคดิจิทัล การมีช่องทางขายเพียงอย่างเดียวคงไม่เพียงพออีกต่อไป แต่ต้องมี “Big Data” ควบคู่กัน จึงเป็นคำตอบว่าทำไมยุคนี้ บริษัทต่างๆ โดยเฉพาะองค์กรขนาดใหญ่อยากจะครอบครองฐานข้อมูลผู้บริโภค เพื่อนำไปวิเคราะห์ สำหรับต่อยอดอาณาจักรธุรกิจให้มีความครบวงจร
หนึ่งในบริษัทที่มี “ฐานข้อมูล” ขนาดใหญ่ คือ “บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์” ที่มีเริ่มต้นมาจากธุรกิจขนส่งมวลชนระบบราง หรือเรียกกันว่า “รถไฟฟ้า BTS” ที่ทุกวันนี้กลายเป็นระบบคมนาคมสำคัญของกรุงเทพฯ โดยมีผู้ใช้บริการโดยเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 800,000 – 900,000 คนต่อวัน
นอกจากพัฒนาระบบรถไฟฟ้าแล้ว เมื่อ 20 ปีที่แล้วบีทีเอส กรุ๊ป ได้ต่อยอดไปสู่ธุรกิจให้บริการสื่อในรถไฟฟ้า-ออฟฟิศ-กลางแจ้ง-สนามบิน-บริการสาธิตสินค้า ภายใต้ชื่อบริษัท “VGI Global Media” เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตทางธุรกิจและรายได้ที่เพิ่มเข้ามา
ใครจะเชื่อว่าผ่านไป 20 ปี…ปัจจุบัน “VGI” บริษัทในเครือบีทีเอส กรุ๊ป กลายเป็นบริษัทที่มี “Big Data” เกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคไทยมากที่สุดแห่งหนึ่งในไทยก็ว่าได้ สะท้อนได้จากตัวเลขฐานข้อมูลลูกค้า ที่ “VGI” เปิดเผยว่าปัจจุบันมี Big Data ลูกค้า 16 ล้านราย และภายใน 3 ปีนับจากนี้จะเพิ่มขึ้นเป็น 40 ล้านราย !!
จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าถ้ามีผู้ใช้บริการรถไฟฟ้า BTS เดินมาพร้อมกัน 3 คน “VGI” จะสามารถรู้ข้อมูลพฤติกรรมการใช้รถไฟฟ้า BTS หรือแม้แต่ไลฟ์สไตล์ และการจับจ่ายของแต่ละคน
ไม่ว่าจะเป็น “เอ” เดินทางด้วยรถไฟฟ้า “บีทีเอส” จากสถานีหมอชิต – ศาลาแดง เป็นประจำในช่วงเวลา 6.00 – 7.00 น. ทุกวันจันทร์ – ศุกร์ ขณะที่ “บี” ทุกเช้าจะเดินทางจากสถานีสยาม มาลงที่ช่องนนทรี และแวะซื้ออาหาร-เครื่องดื่มจากแมคโดนัลด์โดยเฉลี่ย 5 – 6 ครั้งต่อเดือน ส่วน “ซี” ชอบสั่งซื้อเสื้อผ้า-เครื่องสำอางผ่านออนไลน์ และยังเพิ่งซื้อประกันสุขภาพไปเมื่อช่วงต้นเดือนที่แล้ว
เบื้องหลังที่กลายเป็นบริษัทที่มีคลังข้อมูลผู้บริโภคจำนวนมหาศาลเช่นนี้ มาจากการค่อยๆ ต่อ “จิ๊กซอว์” ธุรกิจในเครือ ที่เริ่มจากธุรกิจหลักอย่าง “รถไฟฟ้า” แล้วขยายไปสู่ธุรกิจอื่นๆ ตามมาอีกมาก
เพื่อในที่สุดแล้ว “บีทีเอส กรุ๊ป” ต้องการสร้าง “Business Ecosystem” หรือ “ระบบนิเวศธุรกิจ” ที่ครอบคลุมทั้งการเดินทางในชีวิตประจำวัน, ธุรกิจสื่อนอกบ้าน และเป็นแพลตฟอร์มการตลาดให้กับแบรนด์สินค้า-บริการ, เป็นแพลตฟอร์มชำระเงิน, เป็นโบรกเกอร์ด้านการเงิน-ประกัน รวมไปถึงไลฟ์สไตล์ด้านต่างๆ
ยกระดับเป็น “Marketing Solution” พร้อมเล็งลงทุน “AI”
20 ปีที่ผ่านมา “VGI” ยืนอยู่บนธุรกิจนอกบ้าน (Out of Home Media) ทั้งสื่อในรถไฟฟ้า-ออฟฟิศ-กลางแจ้ง-สนามบินมาโดยตลอด แต่นับจากปีนี้เป็นต้นไปเป็น “จุดเปลี่ยน” ครั้งสำคัญที่จะขยายจากธุรกิจสื่อนอกบ้าน ไปสู่โลกแห่งธุรกิจใหม่ ที่เชื่อม “Offline” และ “Online” (Offline-to-Online : O2O) เพื่อยกระดับเป็น “Marketing Solution” ให้กับลูกค้าแบรนด์สินค้า-บริการในอุตสาหกรรมต่างๆ
โดยใช้ความได้เปรียบจากการมี “Big Data” ทั้งข้อมูลการเดินทาง และการใช้จ่ายที่ได้จากแพลตฟอร์ม Rabbit Card และ Rabbit LINE Pay เป็นหลัก รวมทั้งฐานข้อมูลจาก Social Media นำมาวิเคราะห์ และผสานเข้ากับ “สื่อนอกบ้าน” นำเสนอเป็น Marketing Solution เพื่อทำให้การใช้เม็ดเงินโฆษณา หรือทำแคมเปญกับสื่อนอกบ้าน จะไม่ได้เป็นเพียง Mass Communication ที่หว่านในวงกว้างแบบในอดีตอีกต่อไปแล้ว แต่จะสามารถ Customize กลุ่มเป้าหมายที่แบรนด์ต้องการส่งแมสเสจไปถึง และทำ Personalize Promotion เพื่อดึงให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมกับแบรนด์ (Brand Engagement) และสร้างให้เกิดการพูดคุยระหว่างผู้บริโภคกันเอง (Conversation)
“หลังจากเราใช้ในช่วง 2 – 3 ปีที่ผ่านมาในการสร้าง Ecosystem วันนี้เรามีความพร้อมแล้ว ในความครบวงจร ทั้งธุรกิจสื่อนอกบ้าน ทั้งยังเรายังมีธุรกิจ Rabbit Card – Rabbit LINE Pay และเข้าซื้อหุ้น Kerry Express เพื่อในที่สุดแล้วเราจะรู้จักผู้บริโภคมากขึ้น รู้ว่าชอบ – ไม่ชอบอะไร วิถีชีวิตเป็นอย่างไร เดินทางอย่างไร สิ่งเหล่านี้คือ Data ที่เราจะนำไปใช้กับลูกค้าของ VGI โดยที่ผ่านมาเราเก็บ Data อยู่แล้ว แต่นับจากนี้ไปเราจะนำ Data มาวิเคราะห์อย่างจริงจัง เพื่อให้เป็นข้อมูลที่เกิดประโยชน์สูงสุด
ขณะที่การสร้างการเติบโตให้กับ VGI ต่อไปไม่ใช่การซื้อหุ้นแล้ว แต่อาจทำในรูปแบบ Joint Venture กับบริษัทเทคโนโลยี เช่น บริษัทออนไลน์, ไอที, AI ซึ่งขณะนี้เรากำลังเตรียมการสำหรับเทคโนโลยี AI โดยต้องหาบริษัทพัฒนาทางด้านนี้ มาร่วมเป็นพันธมิตรธุรกิจ หรือเป็น Joint Venture ด้วยกัน เพื่อในอนาคตการควบคุม-สั่งการระบบและหน้าจอโฆษณาสื่อนอกบ้านของ VGI กับ Data ที่เรามีอยู่ จะคุยเชื่อมโยงกันได้ผ่าน AI” คุณกวิน กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท วีจีไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) เล่าถึงพัฒนาการของบริษัท
“Rabbit Card – Rabbit LINE Pay” Payment Gateway เก็บทุกข้อมูลการใช้จ่าย
ใครที่เดินทางด้วย “BTS” เป็นประจำ ส่วนใหญ่ถือบัตร “Rabbit Card” ซึ่งเป็นบัตรโดยสารที่เปิดตัวเมื่อปี 2555 บริหารโดยบริษัท บางกอก สมาร์ทการ์ด ซิสเทม จำกัด (บริษัทในเครือ VGI) โดยวัตถุประสงค์เพื่อเป็นบัตรเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ สำหรับใช้ชำระค่าสินค้า-บริการต่างๆ ทั้งเป็นบัตรโดยสาร และสามารถใช้ร่วมกับร้านค้าบนสถานี และร้านค้าพันธมิตรนอกสถานี
ถึงวันนี้ มีสมาชิกบัตร 8.5 ล้านคน มีร้านค้าพันธมิตร 110 แบรนด์ และครอบคลุมจุดให้บริการกว่า 4,000 จุด อีกทั้งยังทำ Loyalty Program “Rabbit Rewards” ที่นำเสนอสิทธิประโยชน์จากแบรนด์พันธมิตรให้กับผู้ถือบัตร Rabbit
อย่างไรก็ตามเพื่อขยายจำนวนผู้ใช้ให้ได้มากกว่านี้ การเป็นบัตรเงินสดระบบออฟไลน์อย่างเดียว คงไม่สามารถรองรับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัลได้ และที่ผ่านมาการเป็นบัตรเงินสดระบบออฟไลน์ ก็มีข้อจำกัดในตัวเอง
ด้วยเหตุนี้เองเมื่อ 1 – 2 ปีที่แล้ว จึงได้จับมือกับ “LINE” ร่วมกันพัฒนา “Rabbit LINE Pay” เป็นแพลตฟอร์ม “E-Wallet” ที่ทั้งสองฝ่ายต้องการผลักดันให้เป็น “Payment Gateway” สำคัญของคนไทย
ความร่วมมือนี้ เป็น win-win strategy ให้กับทั้งฝั่ง “Rabbit” สามารถขยายจากการเป็นระบบชำระเงินออฟไลน์ ไปสู่แพลตฟอร์มชำระเงินแบบออนไลน์ ขณะเดียวกันยังได้ฐานผู้ใช้งาน LINE เข้ามาอยู่ใน Ecosystem ของ Rabbit และบีทีเอส กรุ๊ป ซึ่งทุกวันนี้ LINE ประเทศไทยมีจำนวนผู้ใช้งานสูงเป็นอันดับ 2 ของโลก ด้วยจำนวนกว่า 40 ล้านราย
ส่วนทางด้าน “LINE” ต้องการสร้างระบบนิเวศธุรกิจที่อยู่ในชีวิตประจำวันของคน เพื่อสร้างการเติบโตให้เป็นมากกว่าแอปพลิเคชันแชท ดังนั้น ภายใต้ระบบนิเวศธุรกิจ หนึ่งในนั้น คือ บริการด้านการเงิน โดยเวลานี้ “LINE” ต้องการเพิ่มฐานผู้ใช้งานระบบ E-Money ดังนั้น ความร่วมมือนี้จะส่งผลให้แพลตฟอร์ม “LINE Ecosystem” มีฐานผู้ใช้งานประจำ (Active User) เพิ่มขึ้น
และเมื่อไม่นานนี้ “Rabbit LINE Pay” ได้ผนึกกำลังกับ “AIS” ในการนำแพลตฟอร์ม Rabbit LINE Pay ติดตั้งบนแอปพลิเคชัน my AIS สำหรับชำระค่าบริการต่างๆ ของ AIS ค่าบัตรเครดิต และค่าสาธารณูปโภค
นอกจากนี้ “Rabbit” ยังได้ต่อยอดไปสู่การเป็น “โบรกเกอร์ผลิตภัณฑ์ทางการเงิน และประกันภัย” ให้กับสถาบันการเงิน และบริษัทประกัน ในการให้ข้อมูลรายละเอียด และเป็นช่องทางจำหน่าย
คุณเนลสัน เหลียง, กรรมการผู้อำนวยการใหญ่, บริษัท บีเอสเอส โฮลดิ้งส์ จำกัด หรือ แรบบิท และ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่, บริษัท วีจีไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด มหาชน เล่าถึงเป้าหมายสร้างการเติบโตของ Payment Platform ว่า ต้องการเพิ่มจำนวนผู้ชำระเงินผ่านแพลตฟอร์มของทั้ง Rabbit และ Rabbit LINE Pay ให้เป็น 10 ล้านราย จากปัจจุบันมีผู้ใช้งาน 1 ล้านราย พร้อมทั้งเตรียมขยาย Payment Network ให้ครอบคลุมทั่วประเทศ
ข้อมูลที่เกิดจากการใช้ Rabbit Card และ Rabbit LINE Pay เป็น Big Data สำคัญที่ทำให้ “บีทีเอส กรุ๊ป” เข้าใจพฤติกรรมการเดินทางของผู้บริโภค รวมถึงพฤติกรรมการใช้จ่ายด้านต่างๆ โดยฐานข้อมูลเหล่านี้ จะถูกนำไปวิเคราะห์ และใช้ใน “VGI Global Media” ที่ต่อไปไม่ใช่เป็นเพียงยักษ์ใหญ่ในตลาดสื่อนอกบ้าน (Out of Home Media) เท่านั้น แต่ยังเป็น “Marketing Arm” ในการทำตลาดให้กับแบรนด์สินค้า-บริการที่มาลงโฆษณา และเป็นพันธมิตร
“Kerry Express” Logistic Network เสริมแกร่งธุรกิจสื่อ – บริการชำระเงิน
เป็นอีกหนึ่งบิ๊กดีลธุรกิจในปีนี้ก็ว่าได้…เมื่อ “VGI” เข้าซื้อหุ้นใน “Kerry Express” ในประเทศไทย ด้วยมูลค่ากว่า 5,900 ล้านบาท ถือเป็นหนึ่งในการลงทุนครั้งสำคัญที่มีมูลค่าสูงที่สุดของ VGI
สิ่งที่ “VGI” ได้ในการทุ่มทุนครั้งนี้ คือ การมีโอกาส “เข้าถึง” ผู้บริโภคได้โดยตรงผ่านแพลตฟอร์มของธุรกิจ Logistic “Kerry Express”ที่จะทำให้เกิดพลัง Synergy เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจของ VGI และ Kerry Express
ไม่ว่าจะเป็นการใช้สถานีรถไฟฟ้า BTS เป็นจุดให้บริการรับ-ส่งพัสดุ ขณะเดียวกันสามารถนำ “Rabbit LINE Pay” ผูกกับการให้บริการขนส่งของ Kerry Express ได้เช่นกัน เพื่อขยายจำนวนผู้ใช้แพลตฟอร์มชำระเงินออนไลน์
นอกจากนี้ยังทำให้ “VGI” มีเครื่องมือในการนำเสนอ “Marketing Solution” ให้กับลูกค้าแบรนด์สินค้า-บริการ เช่น ใช้หน่วยรถขนส่งประเภทต่างๆ ของ Kerry Express เป็นสื่อโฆษณา และผนึกเข้าไปกับบริการใหม่ของ Kerry Express เช่น บริการจัดส่งพัสดุ Product Sampling ที่ลูกค้าแบรนด์สินค้า-บริการต้องการให้ส่งสินค้าตัวอย่างไปยังบ้านผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งตรงนี้ “Big Data” จะมีประโยชน์ใช้วิเคราะห์ข้อมูลว่าใครคือ Target Group ของสินค้านั้นๆ
ส่วน “Kerry Express” ถือเป็นบริษัทขนส่งพัสดุด่วนที่เติบโตเร็วที่สุดก็ว่าได้ เริ่มธุรกิจในไทยปี 2013 จากจำนวนพัสดุขนส่ง 15,000 ชิ้นต่อวัน ต่อมาในปี 2015 เพิ่มขึ้นเป็น 75,000 ชิ้นต่อวัน และปีนี้ คาดว่าจะมีพัสดุจัดส่งไม่ต่ำกว่า 750,000 ชิ้น และมีจุดให้บริการ 2,500 แห่ง
เพราะฉะนั้นการได้พันธมิตรใหม่ครั้งนี้ จะยิ่งเร่งสปีดธุรกิจ Kerry Express ในไทยให้ขยับออกห่างจากคู่แข่งไปอีกหลายสเต็ป ทั้งในด้านการเสริมความแข็งแกร่งด้านเงินลงทุน และด้าน “Big Data” เกี่ยวกับพฤติกรรมผู้บริโภคไทย นำมาใช้ต่อยอดการพัฒนาบริการใหม่ ทั้งกลุ่ม B2B และ B2C
“VGI มี 3 แพลตฟอร์มหลัก ครอบคลุมทั้งธุรกิจสื่อโฆษณา, ธุรกิจให้บริการชำระเงิน, ธุรกิจ Logistic จะเปิดโอกาสทางธุรกิจอีกมากมายจาก Ecosystem เหล่านี้ และส่งผลให้บริษัทมีโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการเติบโต และแข่งขันในตลาดได้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น จึงมั่นใจว่าภายใน 3 ปีนับจากนี้จะทำรายได้แตะ 10,000 ล้านบาท โดย 50% มาจากธุรกิจสื่อโฆษณา และอีก 50% มาจากธุรกิจให้บริการชำระเงิน ธุรกิจ Logistic และอื่นๆ ขณะที่ปีนี้คาดว่าจะมีรายได้กว่า 4,700 ล้านบาท โดยธุรกิจสื่อโฆษณายังเป็นรายได้หลัก” คุณกวิน กล่าวทิ้งท้าย
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : marketingoops.com