Contact us on +668 4668 1993 or aspasign2020@gmail.com

แพลนบี VS วีจีไอ เกมช่วงชิงผู้นำสื่อ Out of Home วัดกันที่ฝีมือ ไม่ต้องใช้ “คุกกี้เสี่ยงทาย”

แพลนบี VS วีจีไอ เกมช่วงชิงผู้นำสื่อ Out of Home วัดกันที่ฝีมือ ไม่ต้องใช้ “คุกกี้เสี่ยงทาย”
May 27, 2018 dhammarong

“แพลนบี” และ “วีจีไอ” ต่างเป็นผู้ให้บริการสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัย (Out of Home Media) และขณะเดียวกัน ทั้งคู่กำลังขยายอาณาจักรไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เพื่อต่อยอดธุรกิจตนเอง

ล่าสุด แพลนบี เข้าซื้อหุ้น “BNK48”

และ VGI ได้ซื้อหุ้น Kerryเข้ามาเป็นหนึ่งในธุรกิจ

ทั้งสองบริษัทมีความน่าสนใจอย่างไร ทำธุรกิจอะไรกันบ้าง รวมถึงโครงสร้างรายได้ล่ะ..? วันนี้ Marketing Oops! มีข้อมูลมาเล่าสู่กันฟัง

เจาะลึก แพลน บี

บมจ.แพลน บี มีเดีย ที่มีชื่อย่อในตลาดหุ้นว่า PLANB แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่า คณะกรรมการการของบริษัท มีมติอนุมัติการลงทุนใน “บริษัท บีเอ็นเค48 ออฟฟิศ จำกัด” หรือ BNK48

สัดส่วนการลงทุนอยู่ที่ในอัตราส่วน 35% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด

และแพลนบี ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงเบื้องต้นเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคมที่ผ่านมา

แพลนบี แจ้งด้วยว่า ซื้อหุ้นจากผู้ถือหุ้นเดิมในอัตราส่วน 17.5% คิดเป็น 350,000 หุ้น มูลค่าไม่เกิน 82,250,000 บาท

และแพลนบีจะซื้อหุ้นเพิ่มทุนอีก 538,500 หุ้น คิดเป็นสัดส่วน 17.5% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังเพิ่มทุน มูลค่าไม่เกิน 100,000,000 บาท มูลค่าการลงทุนรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 182,250,000 บาท

ส่วนแหล่งเงินทุน จะใช้กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน

สำหรับ บีเอ็นเค48 ทำธุรกิจทาเล้นท์แมนเนจเม้นท์ และคอนเทนท์ครบวงจร บริหารจัดการ พัฒนา สมาชิกวงบีเอ็นเค48 วางแผน ผลิตงานแสดง เผยแพร่ผลงานเพลง จำหน่ายผลิตภัณฑ์ โฆษณาประชาสัมพันธ์ การขยายธุรกิจ ต่อยอด และเพิ่มช่องทางให้บริการด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับวง “บีเอ็นเค48”

เป้าหมายในการลงทุน ทางแพลนบี ต้องการสร้างโอกาสในการเพิ่มรายได้จากความหลากหลาย และความนิยมของธุรกิจ และสินค้าของบีเอ็นเค48

แพลนบี มองอีกว่า ธุรกิจของบีเอ็นเค48 จะเข้ามาช่วยต่อยอด หรือส่งเสริมธุรกิจของแพลนบีได้

และช่วยเพิ่มศักยภาพการเติบโตของธุรกิจใหม่ ที่มีมูลค่าสำคัญต่อธุรกิจบันเทิงหรืออื่นๆ อย่างต่อเนื่อง

ปัจจุบัน แพลนบี คือ ผู้นำให้บริการสื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย (Out of Home Media) ทั้งในประเทศไทย และภาคพื้นเอเชีย

สื่อโฆษณาที่ว่านี้ประกอบด้วย 1.สื่อโฆษณาบนระบบขนส่งมวลชน (Transit Media), 2.สื่อโฆษณาภาพนิ่ง (Classic Media), 3.สื่อโฆษณาดิจิทัล (Dynamic Media), 4. สื่อโฆษณาภายในห้างสรรพสินค้า (Mall Media), 5.สื่อโฆษณาภายในซุปเปอร์มาร์เก็ต (In-Store Media), 6.สื่อโฆษณาภายในสนามบิน (Airport Media), 7.สื่อโฆษณาออนไลน์ (Online Media)

แพลนบี เริ่มที่เป็นที่รู้จักมากขึ้นในวงการกีฬา โดยเฉพาะฟุตบอล เมื่อได้รับสิทธิการบริหารจัดการสิทธิประโยชน์ ของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และบริษัท ไทย ลีก จำกัด

โดยได้ดำเนินการภายใต้กลุ่มธุรกิจใหม่  คือ “สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง”

ที่ผ่านมา แพลนบี มีการการตั้งบริษัทย่อยเพื่อขยายธุรกิจ การเข้าซื้อกิจการ รวมถึงการเข้าไปร่วมทุน หรือซื้อหุ้นในสัดส่วนที่ตนเองมีสิทธิเข้าไปร่วมบริหารงาน เช่น

1 การเข้าร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกับ บริษัท ฮัลโล บางกอก แอลอีดี จำกัด เพื่อสร้างเครือข่ายสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยร่วมกัน

ควบรวมกิจการ บริษัท ทริปเปิ้ลเพลย์ จำกัด เพื่อขยายธุรกิจสื่อโฆษณาภายในสนามบินสุวรรณภูมิ

3 ควบรวมกิจการ บริษัท แม็กซ์วิวมีเดีย กรุ๊ป จำกัด เพื่อเพิ่มศักยภาพการขยายสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยใหม่ทั่วประเทศ

ลงทุนในบริษัท 2000 พับลิชชิ่ง แอนด์ มีเดีย จำกัด เพื่อขยายประเภทสื่อโฆษณาของบริษัท ไปยังสื่อสิ่งพิมพ์ และสื่ออิเล็คทรอนิคส์ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายระดับบน

ขยายธุรกิจโฆษณานอกที่อยู่อาศัยสู่ระดับภูมิภาคอาเซียน ด้วยการลงนามในสัญญาเพื่อเข้าลงทุนในบริษัท แซงจูรี่ บิลบอร์ด จำกัด ประเทศมาเลเซีย

ควบรวมกิจการบริษัท เมอร์ซี่ พลัส จำกัด เพื่อพัฒนาสื่อโฆษณาดิจิทัลในห้างสรรพสินค้า โมเดิร์น เทรด

ควบรวมกิจการบริษัท เดอะวันพลัส จำกัด เพื่อขยายสื่อโฆษณาในพื้นที่สนามบินทั้ง 6 แห่ง ของ บมจ. ท่าอากาศยานไทย

ล่าสุด ในปี 2561 ก่อนจะเข้าซื้อหุ้นใน บีเอ็นเค48

แพลนบี ได้เข้าซื้อหุ้น “บริษัท แบงคอก เมโทร เน็ทเวิร์คส์ จากัด” หรือ บีเอ็มเอ็น ในสัดส่วน 19.5%

บีเอ็มเอ็น เป็นผู้ได้รับสิทธิเชิงพาณิชย์ต่างๆ ของรถไฟฟ้า MRT สายสีน้าเงิน และมีอายุสัมปทานยาวนานกว่า 30 ปี

การลงทุนในครั้งนี้ของแพลน บี เป็นความร่วมมือกัน เพื่อความพร้อมสำหรับการสร้างและบริหารสื่อโฆษณา และพื้นที่เชิงพาณิชย์จากสัมปทานต่างๆ ที่บีอีเอ็ม เป็นผู้ดูแลทั้งบน “รถไฟฟ้าสายสีน้าเงิน” และส่วนต่อขยาย

รวมถึงโครงการรถไฟฟ้า และทางด่วนสายใหม่ๆ ที่จะประมูลเพิ่มเติมในอนาคตอันใกล้

นอกจากนี้ ยังเข้าซื้อหุ้น “บริษัท ดับบลิว.พี.เอส. มีเดีย จำกัด” สัดส่วน 50% ซึ่งเป็นผู้ให้บริการสื่อโฆษณาในสนามบิน โดยการลงทุนในครั้งนี้ จะช่วยเพิ่มศักยภาพของแพลน บี ในการขยายธุรกิจสื่อโฆษณาในสนามบิน

ในด้านรายได้ของแพลนบี พบว่า ได้เติบโตขึ้นในทุกกปี

ปี 2558 มีรายได้รวม 2,170 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 400 ล้านบาท

ปี 2559 มีรายได้รวม 2,448 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 351 ล้านบาท

ปี 2560 มีรายได้รวม 3,016 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 460 ล้านบาท

ขณะที่ในช่วงไตรมาส 1/2561 (มกราคม-มีนนาคม) แพลน บี มีรายได้รวม 805 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิแล้ว 139 ล้านบบาท เพิ่มขึ้น 37.8% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2560

ปี 2561 แพลน บี ยังคงตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ไว้ที่ 15-20% จากปีก่อน

โดยรายได้หลักๆ ยังคงมาจากธุรกิจสื่อโฆษณานอกที่อยู่อาศัยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง และธุรกิจ “สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง” ขณะที่แพลน บี เตรียมจะเพิ่มพื้นที่สื่อโฆษณาขึ้นอีก 10-15% หรือการขยายจอโฆษณานอกที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ อีก 100 จอ และต่างจังหวัดอีก 20-40 จอ ใช้เงินทุน 600-800 ล้านบาท

แพลน บี ยังคาดหวังว่า ปี 2561 อัตรากำไรสุทธิจะเพิ่มระหว่าง18-20%

อย่างไรก็ดี การเข้าลงทุนใน บีเอ็นเค48 ของแพลนบี ด้านนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ประเมินกันว่า จะช่วยสร้างรายรายได้ และกำไรให้กับแพลน บี เพิ่มขึ้น

และคาดกันว่า จะมีการปรับประมาณการผลประกอบการของแพลน บี ใหม่ เพราะต่างมองกันว่า บีเอ็นเค48 ที่มีมูลค่าทางการตลาดเพิ่มขึ้นมาเป็น 500 ล้านบาทนั้น

ในอนาคต คาดว่ามูลค่าทางการตลาดนี้จะเพิ่มขึ้นไปอีก และช่วยต่อยอดทางธุรกิจสื่อโฆษณาของแพลน บี ได้อีกยาว

VGI ผู้นำสื่อโฆษณา

มาดูกันที่ VGI  หรือ บริษัท วี จี ไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) กันบ้าง

VGI เพิ่งจะทำ ดีลใหญ่ ด้วยการเข้าไปซื้อ หุ้น 23% ของบริษัท เคอรี่ เอ็กซ์เพรส (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยมูลค่ากว่า 5,900 ล้านบาท และนับเป็นการลงทุนครั้งสำคัญที่มีมูลค่าสูงสุดของวีจีไอฯ

วีจีไอฯ คาดหวังว่า จะประสบความสำเร็จในการลงทุนครั้งนี้

นั่นคือ การมีโอกาสเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรงผ่าน “แพลตฟอร์มของธุรกิจโลจิสติกส์” ที่จะเอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจทั้งหมด และเกิดเป็น “โมเดลธุรกิจ” ที่สมบูรณ์แบบ รองรับเทรนด์ของตลาดโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วได้

หลังการซื้อหุ้นของเคอรี่ฯ บรรดานักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ต่างมองเชิงบวกต่อ วีจีไอฯ เกี่ยวกับการรวมธุรกิจเป็นแพลตฟอร์มที่หลากหลาย และการเพิ่มกำลังการผลิตสื่อโฆษณา ที่จะสร้างการเติบโตของธุรกิจได้อย่างยั่งยืน

“วีจีไอฯ มีความสนใจในการร่วมลงทุนกับบริษัทเคอรรี่ ในการนำสื่อโฆษณาเคลื่อนที่บนรถขนส่งสินค้า เพื่อเป็นการขยายช่องทางการสร้างรายได้ และฐานสื่อโฆษณาให้ครบวงจรยิ่งขึ้น จากการที่ปัจจุบันเคอรี่มีการขนส่งสินค้ากว่า 7.5 แสนชิ้นต่อวัน” ผู้บริหารของวีจีไอฯ กล่าว

ปัจจุบัน วีจีไอฯ ทำธุรกิจหลัก เป็นผู้ให้บริการเครือข่ายสื่อโฆษณาแบบครบวงจรครอบคลุมทั่วประเทศ

และแบ่งออกเป็น 6 ด้าน  คือ 1.สื่อโฆษณาในระบบรถไฟฟ้าบีทีเอส ที่ได้รับสิทธิบริหารจัดการสื่อโฆษณา และพื้นที่เชิงพาณิชย์ในโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว สีลม-สุขุมวิท จำนวน 23 สถานี และโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีเขียว จำนวน 7 สถานี ได้แก่ กรุงธนบุรี วงเวียนใหญ่ บางจาก ปุณณวิถี อุดมสุข บางนา และแบริ่ง

2.สื่อโฆษณาในอาคารสำนักงาน ได้รับสิทธิติดตั้งและบริหารจัดการจอดิจิทัลในลิฟต์โดยสาร และโถงรอลิฟต์โดยสาร ในอาคารสำนักงานชั้นนำทั่วกรุงเทพฯ

3.สื่อโฆษณากลางแจ้ง

4.สื่อโฆษณาการบิน

5.สื่อโฆษณาดิจิทัล และออนไลน์

และ 6.การสาธิตสินค้า

นอกจากนี้ ยังเป็นตัวแทนขายสื่อโฆษณาหลากหลายประเภท เช่น สื่อโฆษณาบนรถโดยสารด่วนพิเศษบีอาร์ที สื่อโฆษณาบนรถโดยสารในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สื่อโฆษณาที่อาคารจัตุรัสจามจุรี สื่อโฆษณาที่อาคารเอ็มไพร์ สื่อโฆษณาบนหอนาฬิกาประจำจังหวัดในหลายๆ จังหวัด เช่น เชียงใหม่ ขอนแก่น สงขลา

และสื่อโฆษณาประเภท “จอแอลซีดี” ซึ่งติดตั้งในลิฟต์โดยสาร ในที่พักอาศัยประเภทคอนโดมิเนียม

วีจีไอฯ วางเป้าหมายธุรกิจในอีก 3 ปีข้างหน้า ธุรกิจสื่อโฆษณาเป็นรายได้หลัก มีสัดส่วน 60%

สื่อโฆษณาที่ว่านี้ เช่น ใน Transit, Outdoor, Office Building media, Digital services ทั้งหมดนี้ คาดว่ามีอัตราเติบโต 40% ส่วนที่เหลือเป็นธุรกิจให้บริการชำระเงินที่จะมีการจ่ายผ่าน Rabbit card และ Rabbit Line Pay  ที่จะเพิ่มจำนวนการใช้เป็น 10 ล้านบาท ต่อวัน จาก 1 ล้านบาทต่อวันในปัจจุบัน

ทางด้านธุรกิจโลจิสติกส์ เพิ่มขึ้นเป็น 2 ล้านชิ้นต่อวัน จาก 1 ล้านชิ้นต่อวันในปัจจุบัน ทั้งนี้ผ่าน Big Data ที่มีอยู่ ซึ่งคาดว่าจะมีฐานผู้ใช้เพิ่มเป็น 40 ล้านคนจากปัจจุบันมี 16 ล้านคน

สำหรับโครงสร้าง หรือแพลตฟอร์มของวีจีไอฯ ประกอบด้วย โฆษณาบนสื่อนอกบ้าน ช่องทางชำระเงิน และระบบโลจีสติกส์จากแผนการเข้าซื้อหุ้น 23% ในเคอรรี่ฯ

ทั้งหมดจะทำให้ใกล้ชิดแทรกซึมไปกับพฤติกรรมผู้บริโภคในชีวิตประจำวัน ซึ่งทุกๆ ธุรกรรมที่เกิดขึ้นในแพลตฟอร์ม ทั้ง 3 นี้ จะนำมาซึ่ง ข้อมูล ที่วีจีไอฯ จะนำไปต่อยอดในการบริหาร/ เสนอขาย โฆษณาประชาสัมพันธ์แบบ Offline to Online (O2O solution) ให้กับลูกค้าได้แม่นยำ และเกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจอย่างชัดเจนต่อลูกค้า

ในช่วงที่ผ่านมา ลูกค้าผู้ใช้สื่อโฆษณาแบบ O2O นี้ เช่น McDonald, Comico, Aeon ต่างพอใจต่อการบริหารรูปแบบ หรือวิธีการสร้างการเติบโตทางธุรกิจของวีจีไอ ทำให้เกิดการยกระดับตนเองไปอีกขั้น จากการเป็นผู้ให้บริการสื่อนอกบ้าน สู่การเป็นผู้ครอบครองเน็ตเวิร์คหลัก ที่ผู้บริโภคส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในทุกวัน ทั้งสื่อกลางแจ้ง ระบบขนส่งมวลชน ระบบ online Payment – เครือข่ายโลจีสติกส์ ที่ผ่าน เคอรรี่ฯ ทำให้ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภค จะถูกเชื่อมต่อกัน และนำไปต่อยอดทำธุรกิจได้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

จะสังเกตว่า วีจีไอฯ นั้น มีรูปแบบทำธุรกิจคล้ายกับของแพลน บี  ซึ่งก็คือ การซื้อกิจการ เข้าไปถือหุ้น หรือร่วมทุนอย่างต่อเนื่อง

นอกเหนือจากการจะเข้าซื้อหุ้นในเคอรี่ฯ ล่าสุดแล้ว วีจีไอฯ ยังอยู่ระหว่างการศึกษาและเจรจากับพันธมิตรในธุรกิจใหม่ เพื่อต่อยอดให้ธุรกิจเดิม เช่น สื่อวิทยุและโทรทัศน์ คาดว่าจะมีความชัดเจนในปี 2562

รวมทั้งยังมองหาโอกาสในการขยายไปยังธุรกิจอื่น ที่อาจไม่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโฆษณา หากธุรกิจนั้นสร้างผลตอบแทนได้ดี เช่น ความร่วมมือกับอิออนฯ (AEON)

สำหรับรายได้แต่ละปีของวีจีไอฯ พบว่า ปรับเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ

ปีงบประมาณของวีจีไอฯ จะเริ่มจากเดือนเมษายน  และไปสิ้นสุดสิ้นเดือนมีนาคมของปีถัดไป

ปี 2558 (เมษายน 2557 – มีนาคม 2558 ) มีรายได้รวม 3,077 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 837 ล้านบาท

ปี 2559 (เมษายน 2558 – มีนาคม 2559) มีรายได้รวม 2,423 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 940 ล้านบาท

ปี 2560(เมษายน 2559 – มีนาคม 2560 มีรายได้รวม 3,358 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 826 ล้านบาท

ส่วนปี 2561(เมษายน 2560 – มีนาคม 2561 มีรายได้รวม 4,079 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 846 ล้านบาท

ภาพรวมสื่อโฆษณากลางแจ้ง

หันมาดูภาพรวมของอุตสาหกรรมโฆษณานอกที่อยู่อาศัยกันบ้างว่าเป็นอย่างไร

ภาพรวมมูลค่าการใช้จ่ายอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาปี 2559 – 2560 จะพบว่า สื่อโฆษณาภายนอกที่อยู่อาศัย ที่มีจำนวนค่าใช้จ่ายสูงสุดในปี 2560 คือ สื่อสื่อโฆษณากลางแจ้ง เท่ากับ 6,391 ล้านบาท รองลงมาคือ สื่อโฆษณาในระบบขนส่งมวลชน และสื่อโฆษณาภายในห้างสรรพสินค้า ที่มีค่าใช้จ่ายเท่ากับ 5,878 ล้านบาท และ 946 ล้านบาท

เม็ดเงินโฆษณาที่เพิ่มขึ้น และการต่อยอดไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง ของสื่อโฆษณานอกบ้าน กำลังเป็นเค้กก้อนใหญ่ ที่ทั้งแพลน บี และ วีจีไอฯ ต้องต่อสู้และขับเคี่ยวกันต่อไปอีก

งานนี้วัดกันที่ “ฝีมือ” ของทั้ง 2 ฝ่าย และไม่ต้องให้คุกกี้เข้ามาช่วยเสี่ยงทายกันเลยทีเดียว

 

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : marketingoops.com