Contact us on +668 4668 1993 or aspasign2020@gmail.com

สงครามการค้าโลก! เกี่ยวอะไรกับ “เศรษฐกิจไทย” ครึ่งหลังปี 2018

สงครามการค้าโลก! เกี่ยวอะไรกับ “เศรษฐกิจไทย” ครึ่งหลังปี 2018
July 8, 2018 dhammarong

หลังจากที่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา มาตรการกีดกันทางการค้า ที่ถูกประกาศโดย ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จากประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เริ่มสำแดงผล โดยมีเป้าหมายให้สหรัฐฯ พลิกกลับมาได้เปรียบ หลังจากที่ขาดดุลการกว่า 800,000 แสนล้านดอลล่าร์สหรัฐฯ

กลายเป็น สงครามการค้าโลก ที่เกิดผลกระทบกับหลายประเทศ หาก ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” มีความเห็นว่า ชนวนของสงครามถูกกำหนดโดยปัจจัยทางการเมืองมากกว่าเศรษฐกิจ ซึ่งท้ายที่สุดแล้วจะบั่นทอนการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า

ซึ่งนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ มีความเป็นไปได้ที่จะยังคงดำเนินการต่อเนื่องไปอีก 2-4 ปีหลังการเลือกตั้งกลางเทอมในช่วงปลายปีนี้  ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าคะแนนนิยมทางการเมืองจะสนับสนุนให้มีท่าทีแข็งกร้าวต่อไปหรือจะผ่อนปรนลง

อย่างไรก็ตามการดำเนินนโยบายดังกล่าว นำมาสู่การตอบโต้ของประเทศคู่ค้าหลักของสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นตัวบั่นทอนการค้าโลก และการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในระยะข้างหน้า ซึ่งคาดว่าปี 2018 GDP ของโลกจะเติบโตราว 4.4% และลดลงเหลือ 4.0% ในปี2019

— “จีน” คือเป้าหมายหลัก —

 จีน กลายเป็นเป้าหมายหลักของสหรัฐฯในการกีดกันตั้งแต่ยางล้อ แผงเซลล์แสงอาทิตย์เหล็ก/อะลูมิเนียม โดยรอบล่าสุดเตรียมเก็บภาษีกว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ ได้แก่

• Round 1 เก็บจริง 6 .. 18 : 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องบิน ยานยนต์ อุปกรณ์กล้อง
• Round 2 
รอติดตาม : 1.6 หมื่นล้านดอลลาร์ฯ อาทิ เคมีภัณฑ์ พลาสติก ยานยนต์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า หากข้อพิพาทลากยาวออกไป ฐานะการเงินของภาคอุตสาหกรรมจีนอาจเผชิญกับความท้าทาย ซึ่งหากยอดขายภาคอุตสาหกรรมจีนขยายตตัวในระดับต่ำ จะกดดันความสามารถในการชำระหนี้ของภาคอตุสาหกรรมจะ ถดถอยลงต่อเนื่องจากระดับ 5.84 เท่าในปี 2017

โดยหลายภาคอุตสาหกรรมของจีนมีความเสี่ยงท่ีจะเกิดปัญหาสภาพคล่อง และมีการผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอุตสาหกรรมตั้งเดิมที่เปราะบางอยู่แล้ว อย่างกลุ่มอุตสาหกรรมเหมืองแร่และเหล็ก

ทั้งนี้ทางการจีนคงใช้นโยบายหลายรูปแบบ เพื่อป้องกันความเสี่ยงเชิงระบบการเงิน รวมถึงผลกระทบต่อการจ้างงาน ซึ่งท้ายที่สุดจะกลายเป็นความเสี่ยงเชิงนโยบายในระยะยาว

แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในสงครามการค้าโลก และผลกระทบจากจีน เกี่ยวอะไรกับ เศรษฐกิจไทย ครึ่งหลังปี 2018

ผลที่จะเกิดขึ้นกับ “ไทย”—

นั้นเพราะ “ไทย” จะเป็นทั้งผู้ที่ได้รับทั้ง “ประโยชน์” และ “ผลกระทบ” ไปพร้อมๆ กัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองผลกระทบต่อการส่งออกไทยในปี 2018 จะอยู่ในวงจำกัด ซึ่งในช่วงที่เหลือของปีไทยอาจได้ผลบวกในบางสินค้า แต่หากสงครามลากยาวต่อเนื่องเกินกว่าสิ้นปีนี้ คงกดดันการส่งออกของไทยต่อไปอย่างมีนัยสำคัญ

ซึ่งการเก็บภาษีสินค้านำเข้าทั้งของจีนและสหรัฐฯ จะมีผลสุทธิที่เป็นลบต่อการส่งออกไทยในภาพรวมปี 2018 ราว 280-420 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

โดยสินค้าที่ไทยจะได้รับประโยชน์แทนคู่กรณี ได้แก่ ส่งไปสหรัฐฯ : HDD, ICs พลาสติก ชิ้นส่วนยานยนต์ พลาสติกมีมูลค่าเพิ่ม​, ส่งไปจีนพลาสติกขั้นต้น ผลิตภัณฑ์น้ำมันแปรรูป และส่งไปสหภาพยุโรป:เครื่องนุ่งห่ม ผลิตภัณฑ์เหล็กบางชนิด

สินค้าที่ไทยถูกผลกระทบโดยตรง ได้แก่ Safeguards มาตรา 201 : แผงเซลล์แสงอาทิตย์ เครื่องซักผ้า และ National Security มาตรา232 : เหล็กและอะลูมิเนียม

สินค้าทีไทยถูกผลกระทบโดยอ้อม ได้แก่ ผ่านห่วงโซ่การผลิต : เครื่องใช้ไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ พลาสติกขั้นต้น และผ่านการทุ่มตลาดจากสินค้าจีน : ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า

แต่อย่างไรก็ตาม ปริมาณการค้าโลกที่ขยายตัวสูงกว่าที่ประเมินในปีนี้ยังเป็นแรงหนุนสำคัญต่อการส่งออกไทยให้ยังเติบโตได้ในระดับสูง จึงปรับประมาณการส่งออกปีนี้มาอยู่ที่ 8.8%

โดยส่งออก 5 เดือนแรกโตเฉลี่ย 11.6% เกือบครึ่งหนึ่งมาจากการส่งออกยานยนตร์และอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งยังมีแนวโน้มเติบโตได้ดีโดยมีมูลค่าส่งออกเฉลี่ย 20,806 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

—เศรษฐกิจครึ่งหลังปี 2018 มีแนวโน้มดีขึ้น แต่ยังมีแรงกดกัน—

สำหรับเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลัง ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า รายได้เกษตรกรน่าจะพลิกกลับมาเป็นบวกได้ หลังเดือนเมษายนรายได้พลิกกลับมาเป็นบวกในรอบ 9 เดือน

จากปัจจัยหนุนด้านผลผลิตเกษตรที่ขยายตัวสูงต่อเนื่อง ประกอบกับการกดตัวของราคาที่ลดลง โดยเฉพาะจากราคาข้าวหอมมะลิที่ปรับตัวดีขึ้น ขณะที่ยางพาราน่าจะผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว

สิ่งที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้รายได้ของฐานราก รวมไปถึงตัวเลขการจ้างงานที่มีทิศทางเริ่มดีขึ้น เพราะภาคเกษตรเริ่มจ้างงานสูงขึ้น

แต่นั้นก็ไม่ได้ทำให้ภาพรวมภาวะการครองชีพครัวเรือนยังไม่ดีขึ้น เนื่องจากมีค่าชี้วัดกว่า 5 มิติ แต่ทั้งนี้กำลังซื้อของฐานรากคงไม่แย่ไปกว่านี้แล้ว

ขณะเดียวกันค่าครองชีพที่สูงขึ้นตามเงินเฟ้อ ความว่าภาครัฐคงจะมีมาตรการออกมาช่วยเหลือ ทั้งมาตรการทางด้านร้ายได้ จากโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 2 และมาตรการทางด้านรายได้ ทั้งมาตรการตรึงราคาน้ำมันดีเซลไม่ เกิน 30 บาทต่อลิตร และมาตรการตรึงราคา LPG (ก๊าซหุงต้มที่ 363 บาทต่อถัง 15 กก.

—ปรับ GDP มาโต 4.5%—

โดยภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปี 2018 ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เติบโตในแนวกว้างมากขึ้น แต่แนวลึกยังเป็นประเด็น โดนได้รับแรงหนุนจากภาคต่างประเทศ รวมถึงการใช้จ่ายในประเทศมีแรงส่งต่อเศรษฐกิจมากขึ้น นอกจากการส่งออกและการท่องเที่ยวที่ขยายตัวในระดับสูงต่อเนื่องแล้ว การใช้จ่ายในประเทศทั้งการลงทุนภาคเอกชนและการบริโภคภาคเอกชนก็ปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน

ซึ่งในช่วงครึ่งปีหลังผลผลิตทางการเกษตรที่คาดว่าจะออกมามาก รวมถึงรายได้เกษตรกรที่กลับมาขยายตัวเป็นบวก ตลอดจนการเบิกจ่ายงบกลางปี 2018 ที่มีมูลค่ากว่า 100,000 ล้านบาทรวมถึงหลายโครงการลงทุนภาครัฐจะทยอยเข้าสู่กระบวนการประกวดราคาได้ แม้จะล่าช้าอยู่บ้างแต่ก็ถือว่าอยู่ในทิศทางบวก

ด้วยเหตุนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จึงได้ปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยทั้งปีใหม่ จากเดิมเมื่อตอนต้นปีคาดว่าจะเติบโต 4.0% มาอยู่ที่4.5%

 

ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : marketeeronline.co