บริษัท แพลน บี มีเดีย (PLANB) ต่อจิ๊กซอว์โมเดลธุรกิจใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ตอกย้ำความเป็นผู้นำสื่อนอกที่อยู่อาศัยชัดเจนยิ่งขึ้น แต่ละดีล ปัง ๆ สร้างความฮือฮาให้กับวงการเป็นอย่างมาก ใส่จุดแข็งนวัตกรรมเข้าไปเพิ่มมูลค่าสื่อให้กับลูกค้า ตั้งเป้ารายได้กระโดดจาก 3,500 ล้านบาทในปีนี้ถึง 5,000 ล้านบาท ในอีก 2 ปีข้างหน้า นักวิเคราะห์ทั้งหมด 9 แห่งแนะนำ”ซื้อ”ให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 8 บาท ปัจจุบันอยู่ที่ 7 บาท
“วัชรพงศ์ ลีโทชวลิต” หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท แพลน บี มีเดีย ให้ข้อมูลกับนักวิเคราะห์และนักลงทุนว่า ดีลล่าสุด บริษัทร่วมมือกับพันธมิตร บริษัทเซ็นทรัลพัฒนา (CPN) พัฒนาพื้นที่หน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ จัดแสดงงาน Color of Bangkokเปิดตัว จอดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีขนาดถึง 4,000 ตรม. ในวันที่ 15 ก.ย.2561 ในเวลา 18.30 น. หลังจากนั้นจะเปิดการแสดงทุกวัน ในเวลา 19.00 น. พร้อมมีโชว์ สร้างสีสรรให้กรุงเทพฯ เป็นแหล่งนัดหมายใหม่ของนักท่องเที่ยวและคนไทย
“เซ็นทรัลพัฒนามอบหน้าบ้านเค้าให้เราช่วยดูแล ให้ใช้จอดิจิทัลเสนอสื่อ เราใส่นวตกรรมโชว์เข้าไป โดยว่าจ้างบริษัทแคนนาดาที่มีประสบการณ์ในสนามบินดังๆหลายแห่ง ซึ่งได้รับการตอบรับที่ดีมาก ปกติเราจะต้องใช้เวลา 3-6 เดือนในการทำการตลาด แนะนำสินค้า กว่ายอดจองจะขึ้นมาถึง 70-80% แต่ครั้งนี้ เป็นครั้งแรกลูกค้าจองโฆษณาทั้งปี 90-100% จนถึงสิ้นปี คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ให้บริษัทเดือนละ 20 ล้านบาท หรือมากกว่า 200 ล้านบาทต่อปี จากเงินที่ใช้ลงทุนจำนวน 400 ล้านบาท”วัชรพงศ์กล่าว
โครงการนี้เป็นการลงทุนใหญ่ที่สุดในปีนี้ จากงบลงทุนที่ตั้งไว้ทั้งหมด 800 ล้านบาท และบริษัทยังคงขยายพื้นที่ให้บริการ เพิ่มกำลังการผลิตสื่ออย่างน้อย 10-15% ต่อปี โดยเฉพาะสื่อดิจิทัลนอกที่อยู่อาศัย ในครึ่งปีแรกเพิ่มจำนวน 20 จอแล้ว ส่วนครึ่งปีหลังจะเพิ่มอีก 20-40 จอในกรุงเทพฯ และ 20 จอในต่างจังหวัด เพื่อรักษาพื้นที่ให้บริการ และป้องกันไม่ให้คู่แข่งเข้ามา ปัจจุบัน PLANB เป็นอันดับหนึ่งมีจอในกรุงเทพฯทั้งหมด 275 จอ และต่างจังหวัด 116 จอ ตั้งเป้าในช่วง 2 ปีนี้ จะเพิ่มอีก 100 จอในกรุงเทพฯและ 60 จอในต่างจังหวัด ขณะที่คู่แข่งมีจอในกรุงเทพฯเพียง 45 จอและในต่างจังหวัด 50 จอ
ส่วนธุรกิจให้บริการสื่อในห้างสรรพสินค้า ในปีนี้บริษัทเข้าไปลงทุนในห้าง ไอคอน สยาม ที่กำลังจะเปิดให้บริการในไตรมาสที่ 4/2561 ด้วยการนำนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้าไปเพิ่มมูลค่าสื่อให้กับห้างสรรสินค้ามากขึ้น
นอกจากนี้บริษัทฯยังมีการขยายพื้นที่ให้บริการสื่อไปยังรถไฟฟ้าใต้ดิน โดยเข้าลงทุนใน บริษัท แบงคอก เมโทร เน็ทเวิร์คส์ บริษัทย่อยของ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM)ได้รับสัมปทานถึง 30 ปี จะสามารถเพิ่มกำลังการผลิตสื่อได้เพิ่มขึ้นในอนาคตตามการขยายการลงทุนรถไฟฟ้าสายสีต่าง ๆ ทั้งสายสีม่วงและสีน้ำเงิน และบริษัทฯมีการเพิ่มกำลังการผลิตสื่อออนไลน์ในรถเมล์ด้วย
ทางด้านการให้บริการสื่อภายในสนามบิน บริษัทร่วมลงทุนกับบริษัท 5 บริษัท ซึ่งปัจจุบันให้บริการแล้ว 31%ของสนามบินทั่วประเทศ ส่วนที่เหลือมีหลายสัมปทานแต่เป็นของบริษัทขนาดเล็ก คาดว่าจะรวมตัวกันเพื่อเพิ่มอัตราการใช้และราคา แนวโน้มในอนาคตจะเติบโตมาก เพราะเป็นสื่อที่เข้าถึงลูกค้ามากประเภทหนึ่ง
ขณะเดียวกันในปี 2560 บริษัทเริ่มรับบริหารสิทธิประโยชน์ให้กับสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย มีส่วนร่วมในการคิดแคมเปญการตลาด ทำให้รายได้เข้าสมาคมปีละ 700 ล้านบาท ส่วนบริษัทฯมีรายได้ 2 ทางคือ ค่าธรรมเนียม 22.5% ของรายได้ทั้งหมด ตกประมาณปีละ 150-160 ล้านบาท และลูกค้าที่ลงโฆษณากับสมาคมฯจะต้องมาซื้อสื่อของ PLANB ด้วย แต่ละรายใช้เงินเป็นหลักร้อยล้านบาทมาซื้อสื่อของบริษัท
นอกจากนี้บริษัทยังขยายธุรกิจไปสู่การเป็นออแกนไนซ์รับจัดงานอีเวนท์ให้กับสมาคมฯ โดยจัดการแข่งเกมส์ฟุตบอล (E-sport) จะเริ่มจัดในเดือนพ.ย.นี้ คาดว่าจะสร้างรายได้ให้แพลนบีไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท/ปี จะเริ่มเห็นภาพชัดเจนตั้งแต่ปี 62 เป็นต้นไป ซึ่งได้รับความสนใจมากโดยเชิญ 18 ทีมมาร่วมแข่งขัน ในต่างประเทศ เช่นสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ เป็นอุตสาหกรรม E-sport สร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 100 ล้านดอลลาร์/ปี
สำหรับการซื้อหุ้นของ บริษัท บีเอ็นเค 48 ออฟฟิศ (BNK48) ในสัดส่วน 35% ได้รับผลเหนือความคาดหมาย เห็นพัฒนาการความนิยมเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง มีการดึงพาร์ทเนอร์ที่เป็นเบอร์ 1 ของแต่ละอุตสาหกรรม เพื่อให้เติบโตอย่างยั่งยืน
” อดีตเราเป็นแค่คนกลาง ตอนนี้เราครอบครองสิทธิของคอนเทนต์ของสมาคมฯและ BNK48 “
สำหรับการให้บริการสื่อนอกที่อยู่อาศัยในต่างประเทศ ได้แก่ ลาว ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ปัจจุบันยังมีสัดส่วนรายได้ไม่ถึง 2% ยังคงมุ่งเน้นการขยายพื้นที่ เพิ่มกำลังการผลิตและอัตราการใช้สื่อ จากปัจจุบันที่มีอัตราการใช้สื่ออยู่ที่ 70% แต่ยังไม่มีแผนที่จะขยายไปยังประเทศอื่นเพิ่มเติม
ทางด้านผลการดำเนินงาน มั่นใจว่าจะมีรายได้ 3,500 ล้านบาทในปีนี้ เติบโตประมาณ 25% ซึ่งเป็นไปตามสัญญาที่โตเฉลี่ย 20% ต่อปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา มีบริษัทน้อยรายที่จะเติบโตมั่นคงและยั่งยืน แม้ว่าบริษัทมีต้นทุนคงที่ค่อนข้างสูง จากจอดิจิทัล ปีนี้มีโอกาสที่อัตรากำไรขั้นต้น มากกว่า 38% และอัตรากำไรสุทธิจะมาอยู่ในระดับปกติ 18-20% จากในช่วงปี 2559-2560 อยู่ที่ 14-15% น่าจะทำได้เพราะผ่านช่วงโลซิซั่นมาแล้ว ไตรมาส 3 จะดีขึ้นและสูงสุดในไตรมาส 4
ขณะที่งบการเงินแข็งแรง สัดส่วนหนี้ต่อหุ้น(ดี/อี)ต่ำเพียง 0.27 เท่า มีเงินสดจำนวน 400 ล้านบาท มีความสามารถในการก่อหนี้ในอนาคตได้มากทั้งสำหรับการลงทุนหรือซื้อกิจการ
“แนวโน้มผลงานครึ่งปีหลังจะดีขึ้น และต่อเนื่องในปีหน้า เพราะเศรษฐกิจดีขึ้น ส่งผลให้ลูกค้าซื้อสื่อโฆษณาเพราะเชื่อว่าขายสินค้าได้ และการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปีหน้าด้วย สื่อดิจิทัลมีข้อดี ที่สามารถผลิตสื่อ ปรับเปลี่ยนข้อมูลได้รวดเร็วทันสถานการณ์ และค่าใช้จ่ายไม่เพิ่มขึ้นเหมือนการโฆษณาสื่งพิมพ์ ส่วนแผนงานในอนาคต เราตั้งเป้าหมายรายได้ถึง 5,000 ล้านบาทในปี 2563 จากการเพิ่มอัตราการใช้สื่อถึง 75-80% ในอนาคต “วัชรพงศ์กล่าวทิ้งท้ายอย่างมั่นใจ
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : stock.mc2plus.com