นับตั้งแต่ปี 2558 “วีจีไอ โกลบอล มีเดีย” ในเครือ บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ซึ่งเริ่มต้นจากธุรกิจสื่อนอกบ้าน (OOH) เดินหน้าสร้างเครือข่ายสื่อด้วยการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และร่วมทุน (JV) ใน 3 กลุ่มธุรกิจ คือ สื่อโฆษณานอกบ้าน เพย์เม้นต์ และโลจิสติกส์ รวมเม็ดเงินลงทุนกว่า 10,000 ล้านบาท
เริ่มด้วยกลุ่มสื่อนอกบ้าน มาสเตอร์แอด (MACO) มูลค่า 1,000 ล้านบาท, มัลติไซน์ 400 ล้านบาท, โคแมส 300 ล้านบาท,แอโร มีเดีย 200 ล้านบาท ,เดโม เพาว์เวอร์ 400 ล้านบาท และโกลด์สตาร์ 240 ล้านบาท กลุ่มอีเพย์เม้นต์ “แรบบิท” 2,000 ล้านบาท และล่าสุดต้นปีนี้กับธุรกิจโลจิสติกส์ เคอรี่ เอ็กซ์เพรส มูลค่า 6,000 ล้านบาท
ทั้ง 3 ธุรกิจ คือ “สื่อ-อีเพย์เม้นต์-โลจิสติกส์” ถือเป็น บิซิเนส โมโดล ของวีจีไอ ในการให้บริการลูกค้า ที่ตอบโจทย์ธุรกิจในการปรับตัวสู่การค้ายุคใหม่ ด้วยการใช้เป็น “เครื่องมือ” กตลาด และการค้าขาย พร้อมทั้งใช้เป็น บิซิเนส โมเดล รุกขยายการลงทุนในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะประเทศที่มีระบบรถไฟฟ้าให้บริการ
ยกโมเดลไทยลงทุนต่างประเทศ
กวิน กาญจนพาสน์ ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท วีจีไอ โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าหลังจากบริษัทวางบิซิเนส โมเดล การลงทุน 3 กลุ่มหลัก คือ สื่อโฆษณา, อีเพย์เม้นต์ และโลจิสติกส์ ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ธุรกิจของลูกค้าที่ต้องปรับตัวสู่ยุคดิจิทัล โดยมีสื่อโฆษณาและอีเพย์เม้นต์ เป็นเครื่องมือการตลาด ขณะที่ธุรกิจโลจิสติกส์ “เคอรี่” รองรับการเติบโตในตลาดอีคอมเมิร์ซ สะท้อนจากการให้บริการส่งสินค้าของเคอร์รี่ช่วงต้นปีอยู่ที่ 8 แสนชิ้นต่อวัน ปัจจุบันเพิ่มเป็น 1.2 ล้านชิ้นต่อวัน และปีหน้าวางเป้าหมายไว้ที่ 2 ล้านชิ้นต่อวัน
จากแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจ ทำให้ในปีงบประมาณ 2561/2562 ได้ปรับเพิ่มประมาณการรายได้จาก 4,500 ล้านบาทเป็น 5,000 ล้านบาท เนื่องจากปีหน้ามีการเลือกตั้ง ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำลังซื้อและการใช้ซื้อโฆษณา
นอกจากนี้บริษัทยังคงเป้าหมายรายได้ 3 ปีข้างหน้า หรือในปี 2564 อยู่ที่ 10,000 ล้านบาท โดยมีสัดส่วนรายได้มาจากธุรกิจสื่อโฆษณา 60% และอีก 40% จะมาจากธุรกิจที่ไม่ใช่สื่อโฆษณา คือในกลุ่มอีเพย์เม้นต์ และโลจิสติกส์ เป็นต้น จากเดิม 3 ปีก่อนรายได้หลัก 90% มาจากสื่อโฆษณา
หลังจาก 3 ปีก่อนใช้งบลงทุนซื้อกิจการและร่วมทุนสร้างเครือข่ายสื่อครอบคลุมสื่อโฆษณานอกบ้านครบวงจรแล้ว ปี 2562 ยังมีดีลซื้อกิจการและร่วมทุนเพิ่มเติม แต่โฟกัสด้านการเสริมประสิทธิภาพ Marketing solutions โดยมองพันธมิตรทั้งในไทยและต่างประเทศ โดยอยู่ระหว่างเจรจากว่า 10 ราย ไตรมาสแรกปีหน้าจะสรุปดีล 2-3 ราย ทั้งนี้ เพื่อก้าวสู่การเป็นบริษัท Marketing solutions ครอบคลุมการใช้บริการสื่อโฆษณาครบวงจรในอาเซียน
บริษัทได้ใช้ บิซิเนส โมเดล ในประเทศไทย เข้าไปขยายการลงทุนในกลุ่มอาเซียน เริ่มที่ ประเทศมาเลเซีย ด้วยการลงทุนธุรกิจสื่อโฆษณานอกบ้าน ผ่านบริษัทมาสเตอร์แอด ในนาม VGM มากว่า 3 ปี ปีนี้เริ่มถึงจุดคุ้มทุนและมีกำไรแล้ว หลังจากนี้จะขยายการลงทุนเพิ่มด้านอีเพย์เม้นต์ บัตรแรบบิท และโลจิสติกส์
ร่วมทุนยักษ์ใหญ่อินโดฯ
ล่าสุดได้จัดตั้งบริษัทร่วมทุน VGI MACO (Singapore) Private Limited ประเทศสิงคโปร์ โดยวีจีไอถือหุ้น 40% และ Sinarmas Group ผู้ประกอบธุรกิจรายใหญ่ในอินโดนีเซียถือหุ้น 60% ทุนจดทะเบียน 5 ล้านดอลลาร์ เพื่อดำเนินธุรกิจสื่อโฆษณาในประเทศอินโดนีเซีย
สำหรับ Sinarmas Group อินโดนีเซีย ประกอบกิจการหลายธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจผลิตการกระดาษอันดับ 1 ของโลก มีกำลังการผลิต 19 ล้านตันต่อปี ส่งออก 120 ประเทศทั่วโลก, ภาคการเกษตรผลิตน้ำมันปาล์ม อันดับ 2 ของโลก พื้นที่ปลูกปาล์มกว่า 3 ล้านไร่, ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อันดับ 1 ในอินโดนีเซีย มีแลนด์แบงก์กว่า 62,500 ไร่ มีโครงการพัฒนาเมืองใหม่ในจาการ์ต้าพื้นที่กว่า 40,000 ไร่ ที่พัฒนามาต่อเนื่องกว่า 20 ปี นอกจากนี้ยังมีธุรกิจสื่อสารโทรคมนาคม, ธุรกิจบริการทางการเงิน, ธุรกิจพลังงานและโครงสร้างสาธารณูปโภค
ภายใต้บริษัทร่วมทุน VGI MACO (Singapore) ซึ่งจะเข้าไปลงทุนในอินโดนีเซีย จะมีการประชุมคณะกรรมการในเดือนเมษายน 2562 กำหนดงบลงทุนปีแรกไว้ที่ 30-40 ล้านดอลลาร์ โดยเริ่มจากการลงทุนในธุรกิจสื่อนอกบ้าน ป้ายโฆษณาใน Prime Location ที่ Sinarmas เป็นเจ้าของพื้นที่ เช่น พื้นที่ห้างสรรพสินค้า อาคารสำนักงาน โรงแรม และที่อยู่อาศัย
ที่ผ่านมา VGM บริษัทในเครือ ยังได้รับสัญญาบริหารพื้นที่สื่อโฆษณาในสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน (MRT) สายแรกในใจกลางจาการ์ตา อินโดนีเซีย ระยะเวลา 20 ปี ซึ่งจะเปิดให้บริการไตรมาส 2 ปี 2562 รถไฟฟ้าดังกล่าวมี 13 สถานี 16 ขบวน 96 โบกี้ ความยาว 16 กิโลเมตร พร้อมทั้งได้รับสัญญาบริหารพื้นที่โฆษณาบริเวณตอม่อรถไฟฟ้า 70 ต้น
การบริหารพื้นที่สื่อในรถไฟฟ้า จาการ์ตา จะมีการติดตั้งสื่อโฆษณารูปแบบเดียวกับประเทศไทย คือ บริเวณสถานีรถไฟฟ้า ขบวนรถ จอทีวีในรถไฟฟ้า และตอม่อรถไฟฟ้า ขณะนี้มีการเจรจากับลูกค้าที่สนใจสื่อดังกล่าว โดยอยู่ระหว่างพิจารณาเลือกลูกค้ารายเดียว ที่สนใจติดตั้งสื่อโฆษณาทั้งหมด หรือเลือกขายแพ็คเกจโฆษณาให้ลูกค้า 5-6 ราย โดยอุตสาหกรรมสื่อโฆษณาในอินโดนีเซียมีมูลค่า และราคาขายมากกว่าไทยถึง 2 เท่าตัว
“การลงทุนในอินโดนีเซีย จะเริ่มจากธุรกิจสื่อโฆษณา จากนั้นจะขยายต่อด้าน อีเพย์เมนต์ บัตรแรบบิท ร่วมกับระบบรถไฟฟ้า และ โลจิสติกส์ เหมือนกับบิซิเนส โมเดลในไทย”
บริษัทคาดว่าจะสามารถเริ่มรับรู้รายได้ธุรกิจในอินโดนีเซีย หลังจากรถไฟฟ้าเปิดดำเนินการ และเชื่อว่าจะสามารถถึงจุดคุ้มทุน ได้ภายใน 2-3 ปี
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : thebangkokinsight.com