เอเยนซี เผย 2 ปัจจัย เขย่าเม็ดเงินอุตสาหกรรมโฆษณา แบรนด์ดังจ่อหั่นงบผ่านทีวีต่อเนื่อง ส่วนแบรนด์เล็ก เอสเอ็มอี งบตลาดต่ำ ทุ่มออนไลน์อย่างเดียว
นายศิวัตร เชาวรียวงษ์ นายกสมาคมโฆษณาดิจิทัล (ประเทศไทย) หรือ DAAT และประธานกรรมการบริหาร กรุ๊ปเอ็ม ประเทศไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้สัญญาณของแบรนด์สินค้าและบริการที่มีงบประมาณการทำตลาดราว 50 ล้านบาท ตลอดจนผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)ทำธุรกิจร้านอาหาร สปา มีสาขา 3 สาขาบ้าง 10 สาขาบ้าง เดินหน้าหั่นงบโฆษณาทางทีวีแทบจะเหลือศูนย์ โดนหันไปให้ความสำคัญกับการทำตลาดออนไลน์แบบเต็มร้อยมากขึ้น เพราะสามารถลดต้นทุนได้มหาศาล และวัดผลความคุ้มค่าด้านการลงทุนได้ทันที
ส่วนแบรนด์ดังที่ยังมีงบประมาณการตลาดสูงหลัก “ร้อยล้านบาท” ยังคงใช้จ่ายเม็ดเงินโฆษณาผ่านทีวี แต่ยอมรับว่าเป็นแนวโน้มที่ลดลงเรื่อยๆ
ทั้งนี้ สาเหตุที่แบรนด์ยังใช้จ่ายโฆษณาผ่านทางทีวี เนื่องจากต้องสนับสนุนการขายสินค้าผ่านช่องทางยี่ปั๊วซาปั๊ว หรือร้านค้าทั่วไป ที่ยังต้องสร้างการรับรู้แบรนด์ต่อผู้บริโภคในวงกว้างหรือแมสนั่นเอง
“การใช้จ่ายเม็ดเงินโฆษณาของแบรนด์ต่างๆเปลี่ยนแปลงไปมาก ปัจจุบันลูกค้าแบรนด์ใหญ่หั่นงบโฆษณาทางทีวีลง แต่ยังไม่กล้าตัดจนเหลือศูนย์ เพราะยังมีงบประมาณจำนวนมาก ทำให้ยังไม่พิจารณากระจายไปลงสื่อไหน ไม่ว่าจะเป็นยูนีลีเวอร์ พร็อคเตอร์แอนด์แกมเบิล(พีแอนด์จี) โตโยต้า เป็นต้น ประกอบกับทีวียังมีอิทธิพลในการทำตลาดและยังครองสัดส่วนเม็ดเงินโฆษณาโดยรวมมากกว่า 50% แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ แบรนด์ที่มีงบประมาณการตลาดไม่มาก ตอนนี้เห็นการตัดเงินโฆษณาทางทีวีจนเหลือศูนย์แล้ว เพื่อไปทุ่มทำตลาดดิจิทัลแทน เพราะเห็นผลและเวิร์คกว่า เทียบก่อนนานๆทีจะซื้อโฆษณาทางทีวีบ้าง”
นอกจากนี้ 2 ปัจจัยทั้งแบรนด์ใหญ่โยกงบมายังสื่อออนไลน์ และแบรนด์เล็กทำตลาดออนไลน์เต็มสูบ เป็นแรงบวกกระตุ้นให้เม็ดเงินโฆษณาออนไลน์ยังโตต่อเนื่อง จากปัจจุบันเริ่มครองสัดส่วนเม็ดเงินโฆษณาได้ 12%
“แนวโน้มเม็ดเงินโฆษณาสื่อดิจิทัลยังเติบโตได้ต่อเนื่อง เพราะตัวเลขที่เห็นในปัจจุบันมาจากเอเยนซีที่มีลูกค้าแบรดน์ต่างๆใช้จ่ายผ่านแพลตฟอร์มเฟสบุ๊ค ยูทูป กูเกิล แต่ยังมีอีกจำนวนมาก ที่เป็นแบรนด์เล็กๆ เอสเอ็มอี ซึ่งยังไม่ได้ใช้จ่ายผ่านเอเยนซี”
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : bangkokbiznews.com