เมื่อไม่นานมานี้ Plan B หรือบริษัท แพลน บี มีเดีย จำกัด (มหาชน) ได้รับสิทธิในการบริหารคอนเทนต์กีฬาระดับโลกอย่าง “โอลิมปิค” ในปี 2020 ทั้งสิทธิในการบริหารผู้สนับสนุน (Sponsorship) ถ่ายทอดสดและสิทธิในการบริหารคอนเทนต์ ทั้ง 4 รายการคือ โอลิมปิค โตเกียว 2020, โอลิมปิคเยาวชนฤดูหนาว โลซาน 2020, โอลิมปิคฤดูหนาว ปักกิ่ง 2022 และโอลิมปิคเยาวชน ดักการ์ 2022
เพราะฉะนั้นช่วงก่อนการแข่งขันคือในระหว่าง 24 กรกฎาคม – 9 สิงหาคม 2020 ถือว่าเป็นช่วงขาขึ้นของหุ้นตัวนี้ เพราะเม็ดเงินโฆษณาจะเข้ามามากเลยทีเดียว เพราะการแข่งขันโอลิมปิค ถือเป็นสนามแข่งขันกีฬาที่ใหญ่ที่สุด มีผู้เข้าชม 4,000 ล้านคนทั่วโลก เมื่อเทียบกับการแข่งขันอื่นๆ เช่น ฟุตบอลโลก
วัดฝีมือ Plan B
การได้รับสิทธิในการถ่ายทอดกีฬาโอลิมปิค อาจจะไม่ใช่เรื่องใหม่ของ Plan B เพราะก็มีผลงานการทำ Sport Marketing มาแล้ว ของสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย และบริษัท ไทยลีก จำกัด รวมถึงการแข่งขัน E-sport กีฬาใหม่มาแรง อย่าง Thai E-Leauge
นอกจากนี้ถ้าดูส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) สื่อโฆษณานอกบ้านเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2561 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 24% สัดส่วนหลักยังคงมาจากสื่อดิจิทัล 42.5% จากการประกอบ 8 ธุรกิจหลัก ดังนี้ 1. สื่อโฆษณาบนระบบขนส่งมวลชน 2.สื่อโฆษณาภาพนิ่งกลางแจ้ง 3. สื่อโฆษณาดิจิตอลกลางแจ้ง 4.สื่อโฆษณาภายในห้างสรรพสินค้า 5.สื่อโฆษณาภายในซุปเปอร์มาร์เก็ต 6.สื่อโฆษณาภายในสนามบิน 7.สื่อโฆษณาออนไลน์ (Online Media) และ 8.สปอร์ตมาร์เก็ตติ้ง
ขณะที่ผลประกอบการ สอดคล้องกับราคาหุ้นที่ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา โดยราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นกว่า 210% (ข้อมูลจาก Setsmart ณ วันที่ 27 สิงหาคม 2562)
ทั้งนี้ใน 8 ธุรกิจสื่อโฆษณาของ Plan B นอกจาก Sport Marketing แล้ว ปีที่แล้วสร้างความฮือฮาโดยใช้ “BNK48” มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ในรูปแบบการทำโฆษณา Music Marketing โดยจะเชื่อมโยงคอนเทนต์ทางดนตรี ระหว่างแบรนด์สินค้าและผู้บริโภค หรือที่เรียกแบบใหม่ว่าเป็น “Engagement Marketing” นอกจากนี้ยังทำโฆษณาให้กับห้างไอคอนสยามด้วย ส่วนตลาดในต่างประเทศบริษัทตั้งเป้ารุกตลาดสื่อโฆษณานอกบ้านในอาเซียน ปัจจุบันให้บริการใน 4 ประเทศ ประกอบด้วย มาเลเซีย อินโดนีเซีย ลาวและฟิลิปปินส์
วีจีไอเข้ามาถือหุ้นใหญ่
และอีกเหตุผลสำคัญที่ทำให้ Plan B โตได้แข็งแกร่งคือ การเข้ามาถือหุ้นของ “วีจีไอ” บริษัทที่ทำด้านโฆษณาของบีทีเอส กรุ๊ปส์ ซึ่งปัจจุบันวีจีไอ ถือหุ้นในแพลนบีลำดับที่ 2 ในสัดส่วน 18.85% ซึ่งเดิม Plan B จับตลาดรถไฟฟ้าใต้ดิน เมื่อผนึกรวมกับวีจีไอ ก็เท่ากับว่า Plan B สามารถครองตลาดโฆษณาบนรถสาธารณะและการเดินทางได้ทั้งหมด ทั้งรถเมล์ รถไฟฟ้า ตลอดจนในพื้นที่สนามบิน ยิ่งเพิ่มการมองเห็นสื่อโฆษณาเข้าไปอีก เพราะคนสามารถเข้าถึงได้เป็นจำนวนมากเช่นกัน!
การเข้ามาซื้อหุ้นของวีจีไอ ก็เปลี่ยนจากศัตรูเป็นคู่รักคนสำคัญ! เอื้อกับธุรกิจทั้งคู่ เพราะ VGI เองก็มี “Rabbit Line Pay” และ “Kerry” อยู่ในมือ ขณะที่ Plan B มีจุดแข็งเรื่องการทำการตลาดสื่อออนไลน์ และสปอร์ต มาร์เก็ตติ้งที่มีมูลค่ามหาศาล รวมถึงอนาคตสำคัญอย่างการได้สิทธิฯ โอลิมปิคในปีหน้านี้ด้วย
ครึ่งปีหลังไฮซีซั่น!
และล่าสุดจากผลประกอบการไตรมาส 2 ที่ออกมา บล.หยวนต้ามองว่า PLANB รายงานกำไรปกติไตรมาส 2/2562 ที่ 180 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ส่งผลให้กำไรทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ใกล้เคียงประมาณการที่คาดไว้ จากรายได้เติบโตโดดเด่น 30% หรืออยู่ที่ 1,135 ล้านบาท เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว รับผลบวกจากอุตสาหกรรมสื่อโฆษณานอกบ้าน ที่เติบโตกว่าสื่อโฆษณาอื่นๆ โดยอัตรา utilization rate หรือกำลังการผลิตปรับเพิ่มขึ้นจากไตรมาสแรกของปีที่ 64% เป็น 75% โดยเฉพาะจากธุรกิจการตลาดแบบมีส่วนร่วม (Engagement) จาก BNK48 และ Sport marketing เข้ามาราว 250 ล้านบาท จึงแนะนำซื้อที่ราคา 8.65 บาท
ส่วนช่วงครึ่งปีหลัง ได้รับผลบวกจาก High Season ของธุรกิจ บวกกับเริ่มเห็นผลบวกจาก Synergy ทางธุรกิจกับ VGI ซึ่งเริ่มโครงการ Bangkok Takeover ขายแพคเกจโฆษณาร่วมกับ VGI ผ่านจอทั้งสองเจ้าพร้อมกัน ประเมินว่าจะได้ส่วนแบ่งราว 200 ล้านบาท
ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส ก็มองคล้ายๆ กัน โดยประเมินแนวโน้มกำไรใน 2H19 ปรับตัวขึ้นต่อ โดยปกติช่วง High season อยู่ในช่วงไตรมาส 2 และขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 3 รวมทั้งคาดเห็นผลบวกจาก Synergy หลังการเข้ามาถือหุ้นของ VGI ในสัดส่วน 18.59% ในการพัฒนาสื่อและการขายร่วมกันมากขึ้น รวมทั้งผลด้านประหยัดค่าใช้จ่ายในการขาย โดยบริษัทคาดสัดส่วนต้นทุนขายต่อยอดขายลดลงราว 1% ซึ่งจะเห็นผลชัดขึ้นในปี 2020 จึงแนะนำซื้อที่ราคา 8 บาท
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : wealthythai.com