ทันหุ้น – สู้โควิด: VGI รับผลงานครึ่งแรกปี 2563/64 ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 เม็ดเงินสื่อโฆษณาเหลือ 1.12 แสนล้านบาท สื่อ OOH ปีนี้แนวโน้มหดตัว 8% เชื่อสถานการณ์ระบาดเบาบางหนุนผลงานครึ่งหลังฟื้นตัวดีขึ้นและกลับมาเติบโตปกติในไตรมาส 4/63/64 กอด Backlog แน่น 50% คุมเข้มต้นทุนหั่นงบลงทุนปีนี้เหลือ 400 ล้านบาท
นางจิตเกษม หมู่มิ่ง ผู้อำนวยการใหญ่สายการเงิน บริษัท วี จี ไอ จำกัด (มหาชน) หรือ VGI เปิดเผยว่าจากการแพร่กระจายของไวรัสโควิด-19 ในช่วงที่ผ่านมามีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานไตรมาส 1 และ 2/2563/64 (เม.ย. – ก.ย. 63) เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวทำให้คาดการณ์ว่าเม็ดเงินโฆษณาในอุตสาหกรรมปี 2563/64 (เม.ย. 63 – มี.ค. 64) จะปรับตัวลดลงมาเหลืออยู่ที่ 112,000 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปีก่อนอยู่ที่ 124,000 ล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งสื่อนอกที่พักอาศัย (Out of Home media: OOH) ที่คาดจะติดลบ 8%
ครึ่งหลังเล็งเงินฟื้น
อย่างไรก็ตามสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลายลงในปัจจุบัน เชื่อว่าผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังงบปี 2563/64 (ต.ค. 63 – มี.ค. 64) จะเริ่มฟื้นตัวจากเม็ดเงินโฆษณาที่เริ่มกลับมา และจะชัดเจนที่สุดในช่วงไตรมาส 4/2563/64 (ม.ค. – มี.ค. 64) สะท้อนต่อภาพรวมของธุรกิจที่มีการปรับตัวดีขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ดี ในปัจจุบันบริษัทมีสัญญาโฆษณาในมือ (Backlog) ประมาณ 50% ของรายได้ในปีก่อน ซึ่งเป็นสัญญาที่ถูกเลื่อนกำหนดฉายจากในช่วงครึ่งแรกปีนี้ไปเป็นครึ่งหลังปีแทน
พร้อมกันนี้ บริษัทยังคงเดินหน้าเจรจาเพื่อขยายฐานลูกค้าใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อเสริม Backlog ให้แข็งแกร่งมากขึ้น เชื่อว่าเมื่อภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศเริ่มฟื้นตัวดี เม็ดเงินโฆษณาจะเริ่มทยอยกลับเข้ามา ขณะเดียวกันบริษัทจะรุกช่องทางการทำการตลาดออนไลน์เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้สอดคล้องไปตามพฤติกรรมผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงไป และการเปลี่ยนของ New Normal ทั้งนี้ รายได้จากช่องทางออนไลน์ปัจจุบันมีสัดส่วนมากกว่า 30% ของรายได้รวม และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ธุรกิจ Payment ปัจจุบันมียอดบัตรเปิดใช้งานอยู่ที่ 13 ล้านใบ และมียอดผู้ใช้งาน Rabbit Line Pay ทั้งหมด 7.5 ล้านราย ในช่วงที่ผ่านมายอมรับว่าการ Work from Home ทำให้ยอดขายขายบัตร Rabbit ลดลง รวมถึงอัตราการใช้บัตรก็ลดลงเช่นกัน เป็นไปในทิศทางเดียวกับที่ปริมาณการเดินทางของผู้บริโภคลดลง แต่เชื่อว่าจากนี้ไปประมาณการขายบัตร และยอดการใช้งานจะเติบโตดีขึ้น
ส่วนธุรกิจโลจิสติกส์ ร่วมกับทาง Kerry นั้น ปัจจุบันมีการเติบโตที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ซึ่งมองว่าธุรกิจส่วนนี้ได้รับอานิสงส์จากพฤติกรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป New Normal ทำให้คนสั่งสินค้าออนไลน์เพิ่มมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันปริมาณการขนส่งสินค้าต่อวันเพิ่มขึ้นมากกว่า 40 – 50% เมื่อเทียบช่วงเวลาเดียวกันกับปีก่อน
ปรับวงเงินลงทุน400ล.
ขณะที่การพัฒนาป้ายสื่อโฆษณาในสถานีบริการรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือและสายสีเขียวใต้ เบื้องต้นมองว่าอาจต้องรอให้สถานีเปิดให้บริการครบทุกสถานีก่อนประมาณ 1 – 2 ปี เพราะการทำสื่อโฆษณาจะมีประสิทธิภาพมากที่สุดก็ต่อเมื่อมีผู้คนพบเห็นสื่อเป็นจำนวนมากและเกิดการรับรู้สื่อ อย่างไรก็ดี ปัจจุบันอยู่ระหว่างการเจรจากับทาง BTS และ กรุงเทพมหานคร หรือ กทม. เบื้องต้นคาดว่าต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งจึงจะได้ข้อสรุป
สำหรับงบประมาณในการลงทุนในงบปี 2563/64 นั้น เบื้องต้นบริษัทคาดว่าจะปรับวงเงินลงเหลือ 400 ล้านบาท จากปกติทุกปีเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท หลักๆ จะเป็นการนำไปปรับปรุงป้ายสื่อตามสถานีบริการรถไฟฟ้า และการพัฒนาป้ายสื่อเดิมให้เป็นป้าย Digital เพิ่มมากขึ้น รวมถึงการพัฒนาระบบ Data Mining ให้มีศักยภาพมากขึ้น เพื่อรองรับการวิเคราะห์ข้อมูล และนำมาปรับใช้ให้งานสื่อโฆษณามีประสิทธิภาพเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทยังคงให้ความสำคัญในการควบคุมและบริหารจัดการต้นทุนค่าใช้จ่ายให้อยู่ในระดับที่มีความเหมาะสม เพื่อลดผลกระทบต่อผลการดำเนินงานให้น้อยที่สุด
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : thunhoon.com