ธุรกิจสื่อนอกบ้านในไทยเผชิญแรงกดดันไม่น้อยกว่าสื่ออื่นๆ จากในช่วงภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว กำลังซื้อในประเทศลดลง ภาคการท่องเที่ยวทรุด จนส่งผลทำให้ครึ่งปีแรกเม็ดเงินโฆษณาหายไปจากตลาด แม้แต่สื่อนอกบ้านที่มีอัตราการเติบโตมาตลอดได้รับผลกระทบไม่น้อย
ปัจจุบันไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ดีบวกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่ทยอยออกมาเริ่มมีผลทำให้เริ่มเห็นการฟื้นตัวภายในประเทศ ทำให้ธุรกิจเริ่มกลับมาฟื้นด้วยเช่นเดียวกัน
บริษัท อควา คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ AQUA สื่อนอกบ้านอันดับต้นๆของไทย แม้จะเผชิญแรงกดดันรายได้ในช่วงที่ผ่านมา แต่สามารถประคองธุรกิจและเตรียมขยายธุรกิจในปี 2564 เพื่อให้สอดคล้องไปกับการฟื้นตัวของกำลังซื้อที่ดีขึ้น
‘เรวดี หวานชิด’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบัญชีการเงิน เชื่อว่าผลกระทบในธุรกิจสื่อโฆษณาจะหนักสุดในไตรมาส 2ปี 2563โดยเฉพาะ LED อัตราการใช้ป้าย (Occupancy rate) ลดลงเหลือ 23% เทียบไตรมาส 1 ปี 2563 Occupancy rate 57%คิดเป็นรายได้ลดลง 65%
สื่อนอกบ้านผ่านจุดต่ำสุด
ขณะที่ไตรมาส 3 ตัวเลขดังกล่าวขยับดีขึ้นมาอยู่ 60% การเติบโตของรายได้ LED เทียบไตรมาส มากกว่า100 % และจากการพูดคุยกับลูกค้าคาดว่าไตรมาส 4อัตราการใช้ป้ายขึ้นมาอยู่ที่ 70 % ซึ่งหากนำมาเปรียบเทียบกับปี 2562 ที่ตัวเลขทั้งปีเฉลี่ย 70% จึงทำให้รายได้ LED ทั้งปี 2563 ยังได้รับผลกระทบน่าจะลงมาอยู่เฉลี่ยทั้งปีที่ 30 %
“อุตสาหกรรมสื่อนอกบ้าน ถ้าป้ายนิ่งลดลง 10-15 % เพราะบริษัทเข้าไปช่วยเหลือเรื่องราคามีส่วนลดให้ลูกค้า ส่วน LED กระทบแรงกว่า แต่ถ้าฟื้นจะเร็วกว่าเช่นกัน เพราะลูกค้ามองว่าช่วงล็อกดาวน์ประชาชนอยู่บ้านไม่จำเป็นต้องใช้สื่อนอกบ้าน ”
ครึ่งปีหลัง 63 เห็นสัญญาฟื้นตัว
ปัจจุบันบริษัทมีสื่อทั้ง LED และ ป้ายนิ่ง ภายใต้บริษัท อควา แอด จำกัด (มหาชน) และ บริษัท บอร์ดเวย์ มีเดีย จำกัด ที่เข้าไปลงทุนตั้งแต่ปี 2560 เริ่มขยายจอจาก 20 จอ จนปัจจุบันมี Network จออยู่ 118 จอทั่วประเทศ
โดย แยกเป็น กรุงเทพฯ และปริมณฑล 57 จอ ต่างจังหวัด 27 จอ และ Suvarnabhumi airport series pole ขาเข้าและขาออก 34 จอ กลุ่มลูกค้ามาจากกลุ่มเอเยนซี่เป็นหลักแบ่งเป็น LED 60-70%และลูกค้าโดยตรง 30-40 % และป้ายนิ่งจะกลับกัน เป็นลูกค้าโดยตรง 60-70 % ที่เหลือเอเยนซี่ 30-40 %
ปี 2563 จากผลกระทบโควิด –19 จะทำให้อัตราการใช้ป้ายที่ลดลง แต่ได้มีการปรับตัวเพื่อช่วยลูกค้าให้สอดคล้องกับงบประมาณการใช้สื่อ รวมทั้งต้นทุนที่ลดลงจากป้ายกลุ่มนี้มีอายุนานเกิน 10ปี ต้นทุนในส่วนของค่าเสื่อมโครงป้าย 50% ได้ถูกตัดไปหมดแล้ว ซึ่งต้นทุนในส่วนนี้คิดเป็น 20-25%
ด้านต้นทุนที่เป็นรายการเงินสด เช่น ค่าเช่า ค่าไฟ ค่าเบี้ยประกันภัย ค่าภาษีป้ายเฉพาะป้ายที่มีลูกค้า ซึ่งจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Margin) ยังคงที่ขึ้นมาเฉลี่ย 40% อย่างไรก็ตามคาดว่าธุรกิจสื่อนอกบ้านในปีนี้มีผลกระทบต่อรายได้ทั้งปี 25% คาดว่ามีรายได้ประมาณ 600 ล้านบาท และอัตรา Occupancyทั้งปีอยู่ที่ 60%
รายได้ประจำพร้อมรองรับความเสี่ยง
นอกจากธุรกิจสื่อแล้ว ‘อควา’ ได้ปรับปรุงโครงสร้างธุรกิจก่อนหน้านี้ให้เป็นรูปแบบของ Holding Company เพื่อสร้างรายได้แบบประจำ (Recurring income) โดยเลือกลงทุนในธุรกิจที่มีอัตราผลตอบแทนสูง มั่นคง ความเสี่ยงต่ำ รวมทั้งการลงทุนในธุรกิจประเภทอื่นๆเพื่อกระจายความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจด้วย ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมากคือการเข้าไปลงทุนใน บริษัท อีสเทอร์น พาวเวอร์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ EP และธุรกิจคลังสินค้าให้เช่าและบริการ
‘’เมื่อแบ่งสัดส่วนรายได้ สิ้นปี 2562 มาจากธุรกิจสื่อ 57 % ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และคลังสินค้าให้เช่า 24 % และธุรกิจพลังงาน โรงพิมพ์และบรรจุภัณฑ์ด้วยการถือหุ้นลงทุน EP 40.08 % คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 19%”
สำหรับธุรกิจธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มีพื้นที่ 1 แสนตารางเมตร ที่จังหวัดฉะเชิงเทรามีลูกค้าคือกลุ่มยูนิลีเวอร์ 100% มีดิน 211 ไร่ในโครงการ
แห่งที่สองพื้นที่ 10,000 ตารางเมตร บางปะอิน จังหวัดประนครศรีอยุธยา จะเป็นลักษณะเก็บสินค้าคงคลังสัญญาระยะสั้น 3 ปี ซึ่งยังมีพื้นที่เหลืออีก 4,500 ตารางเมตร ก่อนหน้านี้มีลูกค้าสนใจแต่ติดโควิด-19 ทำให้เลื่อนออกไป
นอกจากนี้ยังมีที่ดินที่จังหวัดเชียงใหม่ จำนวน 34 ไร่ จังหวัดเชียงใหม่ ถือว่าเป็นธุรกิจที่สร้าง Recurring income ได้อย่างต่อเนื่องที่ผ่านมาผู้เช่าโครงการอสังหาฯที่เชียงใหม่ ได้รับผลกระทบ 100% เนื่องจากลูกค้าของผู้เช่าเป็นชาวต่างชาติ 100% ทำให้มีการค้างชำระค่าเช่าและค่าบริการ
อย่างไรก็ตาม อสังหาฯ โครงการนี้เป็นทรัพย์สินของ MANTRA ซึ่งได้ออกแบบรองรับการเป็น Wellness center ซึ่งถือเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะในช่วงโควิด-19 ประเทศไทยได้พิสูจน์ศักยภาพทางการแพทย์ให้เห็นแล้ว การต่อยอดทำธุรกิจหรือแก้ไขปัญหาน่าจะบริหารจัดการได้ง่าย รวมทั้งอนาคตสามารถนำอสังหาฯไปจัดตั้งเป็นกองทรัสต์ในอนาคตได้ ด้วยปัจจุบันมีรายได้ประจำอยู่แล้ว
สุดท้ายธุรกิจพลังงานที่ไปลงทุนใน EP ตั้งแต่ปี 2553 จนหันมาทำธุรกิจพลังงานเป็นหลัก ตั้งแต่ปี 2554-2555 มีสัญญาขายไฟอยู่แล้ว ยกเว้นบางช่วงที่มีการขายโครงการจะรับรู้เข้ามารายการใหญ่จะหมดไป ซึ่งปัจจุบันมีการลงทุนในเวียดนามและคาดการณ์ว่าจะมีรายได้เข้าเพิ่มเติมในปลายปี 2564
ส่วนปีนี้มีขายโครงการโซลาร์เซลล์ที่ญี่ปุ่นและที่กาญจนบุรีเข้ามาทำให้มีโอกาสจะได้โครงการใหม่
ในอนาคตเพิ่มเติมและน่าจะรับรู้ไตรมาส 4 ปี 2563 เข้าลงทุนในเวียดนามเพิ่มปลายปีนี้แล้วน่าจะขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ปี 2564 และยังได้ธุรกิจแพ็กเกจจิ้งที่ลงทุนตั้งแต่ปี 2561 ก็จะเริ่มเห็นรายได้เข้ามาในปีนี้จากตลาดอี คอมเมิร์ซที่เติบโต
ที่ผ่านมา EP มีการจ่ายเงินปันผลที่สม่ำเสมอ โดยอัตราผลตอบแทน (Dividend yield) มากกว่า10% ธุรกิจพลังงานที่มีศักยภาพในการเจริญเติบโตที่สูง และมีความเสี่ยงในการดำเนินงานต่ำ ตลอดจนการเข้าลงทุนในแพ็กเกจจิ้ง ซึ่งผู้บริหารของ EP มีประสบการณ์มากกว่า 20 ปี รวมทั้งเป็นธุรกิจที่สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ได้ปรับเปลี่ยนมาใช้ การค้าขายผ่านระบบออนไลน์
ปรับเกมรุกธุรกิจสื่อปี 64
“การเติบโตปี 2564 เป็นจุดสำคัญมีการรุกธุรกิจสื่อโฆษณาให้สอดคล้องกับกำลังซื้อที่ฟื้นตัวตั้งเป้าหมายรายได้เพิ่มขึ้น 50-60% จากปี 2563 ด้วยการเน้นไปที่สื่อ LED จากเครือข่ายเดิมที่มีอยู่จะขยายไปยังจุดใหม่ๆ 15-20 จุด จาก 118 จุด เม็ดเงินลงทุนประมาณ 250 ล้านบาท จะเน้นพื้นที่ในกรุงเทพฯ ส่วนต่างจังหวัดจะน้อยลงยกเว้นลูกค้าต้องการ”
และโครงการสำคัญ ‘เมกะ คอนเนค’ จากการใช้ป้ายขนาดใหญ่มากขึ้น ในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจของกรุงเทพ (CBD) เน้นพื้นที่ A+ จะมีขนาดป้าย LED เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า500 ตารางเมตรจากเดิม 120 ตารางเมตร เพื่อให้ลูกค้าได้จุดที่ดีที่สุด
โครงการดังกล่าวเป็นการนำป้ายที่มีในตลาดรับมาบริหารเองปรับ จากเดิมป้ายนิ่งบางป้ายให้เป็น LED และบางพื้นที่มีขนาดถึง 900 ตารางเมตร กระจายไปยังจุด CBD เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้านำสินค้ามาลงในพื้นที่ที่ดีสุดภายใต้งบเท่าเดิม
งบลงทุน 600 ล้านบาทสำหรับขยายเพิ่ม 15-20 ป้ายสามารถทำคอนเทนส์เป็น 3D และสร้างเป็นการสื่อสารสองทางกับผู้บริโภคและเจ้าของสินค้าผ่านสื่อของบริษัท เชื่อว่าปี 2564 ธุรกิจสื่อที่มีการขยายและลงทุนเพิ่ม รายได้เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2564 และเมกะคอนเนค มีรายได้ในไตรมาส 4ปี 2564 เช่นกัน
ขอขอบคุณแหล่งข้อมูล : bangkokbiznews.com